วันศุกร์, มีนาคม 16, 2561

ตอบ 'สมีฟรีดอม' แทนอัยการสูงสุด อย่างน้อยๆ "กระบวนตุลาการไทยยังมีติ่งความถูกต้องห้อยอยู่บ้าง"


เอาแล้วไง พระจวกพระ (ถ้าคิดว่านุ่งจีวรตบเงินโรงแรม ปล่อยการ์ดทำร้ายชาวบ้าน และโกหกพกลมโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เป็นลักษณะนิสัยของ พระ ละก็นะ ไม่ว่าจะยกตนเป็น หลวงปู่ แต่แท้จริงแค่ สมีฟรีดอม)  

พระสุวิทย์ ทองประเสริฐ ก็เปิดฉากใหม่ นิสัยเดิม โขกพระ ว.วชิรเมธี เสียน่วม เพียงเพราะ “น้อง ว.” ของสุวิทย์ ไปปาฐกถาเชิดชูประชาธิปไตยในงานครบรอบปี ๑๔ ตุลา เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคมที่ผ่านมา หาว่า “เอะอะอะไรก็ประดิษฐ์คำสวยๆ ออกมาบอกให้เมตตา เมตตา แม้แต่คนฆ่าเสือดำก็ให้เมตตา”

เอ้า ก็ไหนตำนานมีว่า แม้แต่องคุลีมารพระพุทธองค์ก็ยังทรงให้เมตตา มิใช่หรือ แล้วใยสมีฟรีดอม เก็บเอามาสาดใส่ ต่อประเด็นสำคัญที่ ว.วชิรเมธี พูดว่า “ชนชั้นกลางในเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร อยู่ตรงข้ามกับประชาธิปไตยได้อย่างไร”

พระสุวิทย์อ้างว่าที่ พวกเขา (ชนชั้นกลาง) ออกมาเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ ปิดสนามบิน นำร่องให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ ครองเมืองมาจนชาวบ้านอดอยากปากแห้งกระทั่งทุกวันนี้นั่น เพียงเพราะ “คนชั้นกลางและคนสารพัดชนชั้น เขาเบื่อพวกนักการเมือง เบื่อประชาธิปไตย”


เนื้อความส่วนใหญ่ที่พระสุวิทย์ใช้อ้างในข้อเขียนก้าวร้าวพระ ว.วชิรเมธี ก็เต็มไปด้วยคำโป้ปด อย่างเช่น

“รัฐบาลประชาธิปไตย ผลาญงบประมาณแผ่นดินไปรับจำนำข้าวมาเก็บไว้ ให้เน่าเต็มหลายสิบโกดัง” ถ้าเน่าขนาดนั้น รัฐบาล คสช.เอาออกมาขายจนเกลี้ยงได้ไง

“ผลาญเงินไป ๕-๖ แสนล้านบาท จนเกิดวิกฤตทางการคลังของประเทศ” วิกฤตเมื่อไหร่ไม่เคยเห็น หรือพระสุวิทย์นั่งทางในข้ามภพไปถามแม่นางการะเกดไว้

“รัฐบาลประชาธิปไตย หนำซ้ำยังปล่อยให้ลิ่วล้อ บริวารมาลอบทำร้าย ลอบฆ่า ลอบยิง จนมีคนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก” เอ ไอ้ที่ตายมากก็ตอนบุกทำเนียบนั่นต่างหาก คนที่ตายโด่งดังอย่าง น้องโบว์กับ สารวัตรจ๊าบก็ด้วยพิษบาดแผลระเบิดปิงปอง กับระเบิดแสวงเครื่อง ที่พวก การ์ด จัดหามากัน

ยิ่งการ์ดของ สมีเองที่แจ้งวัฒนะนั่นสิตัวดี ตีตำรวจตาย ตีชาวบ้านขับรถผ่านเสียจนบักโกรก ใช่ไหมล่ะ

รวมความว่าการประดิษฐ์คำขี้เหร่ให้ร้ายผู้อื่นนี่ แม้แต่พุทธศาสนิกชนถือศีล ๕ ก็ไม่ควรกระทำ แล้วใยสมีทั่นประพฤติเป็นอาจิณอาจมอีกเล่า ว่าไปแล้วที่ น้อง ว. ประดิษฐ์คำสวยๆ จะฉาบฉวยหรือปะหน้า ยังดีกว่าคำของ พี่สมีเสียอีกนะ

เอาละ เข้าใจว่าอัดอั้นด้วยผิดหวังที่เห็นพระ ว. เปลี่ยนไป ไม่งมงายเผด็จการทหารเหมือน สลิ่ม ทั้งหลาย หนักกว่านั้นน่าจะเป็นเพราะทั่นสมีโดนคดี กบฏร่วมกับพวกอั้งยี่ป่วนเมืองชุดสองอีก ๑๕ คน เข้าด้วยแล้ว

ข้อหา “เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือความไม่สงบในราชอาณาจักรฯ, มั่วสุมกันตั้งแต่ ๑๐ คน ขึ้นไป, ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ” เลวพอๆ กัน หรือยิ่งกว่า ข้อกล่าวหาเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งศาลยกฟ้อง เสื้อแดง ที่ถูกกล่าวหาไปหมดแล้วเพราะไม่มีมูล

ตัวหัวโจกใหญ่สร้างสถานการณ์เป็นเชื้อให้ทหารเข้าแย่งอำนาจรัฐบาลเลือกตั้ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ต้องหาชุดแรกยังมีหน้าบอกว่า “แทนที่จะให้หลวงปู่พุทธะอิสระได้มีโอกาสสอนธรรมะแก่ประชาชน แต่อัยการกลับเอาท่านไปขึ้นศาล”

มีผู้ใช้นาม independence @redbamboo16 ถามกลับว่า “พระสงฆ์ได้รับข้อยกเว้นทางกฏหมายได้หรือครับคุณสุเทพ ทั้งนี้การสอนธรรมะสอนในคุกก็ได้ครับ” ทำให้ Soraj Hongladarom @Sonamsangbo ต้องทวี้ตซ้ำ สนองรับว่า “ถูกแล้วครับ”

ส่วนคำพูดของสุเทือกว่า “ช่วยตอบผมหน่อยว่าฟ้อง อ.แก้วสรร ฟ้องคุณอัญชะลี คุณรังสิมา หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นประโยชน์อะไรกับสังคม” ขออนุญาตตอบเองแทนอัยการสูงสุดแล้วกัน ว่าอย่างน้อยที่สุดทำให้กระบวนตุลาการของไทยยังเหลือศักดิ์ศรี มีติ่งความถูกต้องห้อยอยู่บ้าง ไม่ได้ตกถังเจว็ดจมหายไปเสียหมด

ประโยชน์ต่อสังคมลำดับต่อไปก็คือ ทำให้คนธรรมดาสามัญ ที่ไมใช่ชนชั้น เป่านกหวีดยังพอมีศรัทธาหลงเหลืออยู่บ้างกับระบบนิติรัฐนิติธรรมของประเทศ แม้นขณะนี้ความเชื่อมั่นจากนานาชาติแทบจะไม่มีเหลือหรออีกแล้ว

เมื่อ ๑๔ มีนาคมนี้เอง คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ICJ) เพิ่งแถลงการณ์ด้วยวาจาเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการใช้กฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

ในช่วง General Debate ของ ‘Item 4’ ว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่ต้องการให้คณะมนตรีให้ความสนใจ (Human rights situations that require the Council’s attention) ระหว่างการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council) สมัยที่ ๓๗ ณ นครเจนีวา

“ระบบกฎหมายถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องเพื่อคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ ทนายความ สื่อมวลชน ผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและครอบครัวของพวกเขา โดยผ่านคำสั่งทางทหาร” แถลงการณ์แจ้ง

“แค่ในช่วงปีนี้และแค่ในกรณีที่ทหารเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ ตำรวจได้ดำเนินคดีกับบุคคลมากกว่า ๕๐ คนแล้วในฐานละเมิดคำสั่งห้ามการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป”

เช่นนี้ทาง ICJ จึงเรียกร้องให้ “ประเทศไทยยกเลิกและแก้ไขกฎหมาย คำสั่ง และประกาศทั้งหลายที่ขัดต่อหลักนิติธรรม (rule of law) และการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” ได้แล้ว


หนึ่งในข้อความตัดพ้อของพระสุวิทย์เป็นปฏิกิริยาต่อการถูกฟ้องข้อหากบฏ ว่า “เราไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ ทั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ ที่ชีวิตนี้ได้มีโอกาสตอบแทนคุณผ่นดิน” และเทิดทูนคณะทหารที่ตนเป็นนั่งร้านเรียกเข้ามาครองเมือง ว่า “รัฐบาล คสช.ได้สร้างสิ่งดีงามที่พวกประชาธิปไตยไม่เคยสร้าง”

ล้วนแต่ขัดแย้งต่อสภาพเป็นจริงที่เกิดกับประชาชนส่วนใหญ่ทั้งเพ ถ้าหากจะวัดด้วยดัชนีความสุขตามมาตรฐานขององค์กรสากล จะพบว่า รัฐทหารของสมีฟรีดอมนี้ล้มเหลวสิ้นดี


ดูจากรายงานความสุขโลกประจำปีนี้ (๒๕๖๑) ซึ่งฟินแลนด์ขึ้นมาครองแช้มป์ อันดับ ๑ และสหรัฐตกจากอันดับ ๑๔ ไปอยู่ ๑๘ ส่วนไทยตกฮวบ ๑๔ อันดับจาก ๓๒ ไป ๔๖ ด้วยคะแนน ๖.๐๗๒ (เต็ม ๑๐)

(https://s3.amazonaws.com/happiness-report/2018/WHR_web.pdf ดูตารางหน้า ๒๐-๒๑)

คิดเอาแล้วกันว่าคุณภาพชีวิตประชากรไทยดีขึ้นหรือเลวลงในยุค คสช.