ต้องรับว่า ‘ได้ผล’ ที่พวกโหนเจ้าอย่าง ‘เหรียญทอง’
และ ‘สนธิญา’ ระดมโจมตีพรรคอนาคตใหม่ว่า
‘ล้มเจ้า’ ทั้งๆ ที่พรรคนี้ยังไม่เคยเสนอแนะนโยบายไปในทางนั้น
จะมีก็แต่แนวที่สองผู้ร่วมก่อตั้ง ทั้ง ปิยบุตร
แสงกนกกุล และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยคิดว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
สมควรจะต้องมีการปรับแก้ เพื่อมิให้ถูกนำไปใช้ทำลายล้างกันทางการเมือง
และปรับอัตราโทษให้ต้องตรงกับความผิด
ซึ่งก็ไม่เพียงแค่เขาสองคนคิดเช่นนี้
เคยมีการเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่นกษัตริย์มาแล้วหลายครั้งในอดีต แม้แต่มีผู้ริเริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองรายหนึ่ง
(ตัวแทนสามัญชน) ชูนโยบายแก้ไข ม.๑๑๒ ดังที่ Nithiwat Wannasiri ชวนให้ย้อนไปดูบทบาทของดร.ธนพร ศรียากูล อดีตรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย
และที่ปรึกษาพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ
เขาให้สัมภาษณ์
‘ประชาไท’ เมื่อเดือนพฤศจิกา ๒๕๕๖ ไว้ว่า
ถ้าไม่ยกเลิกไปเลยก็ต้องปรับแก้เกณฑ์การฟ้องร้องคดีให้ชัดเจน
คือมีองค์กรเฉพาะสำหรับยื่นฟ้อง เช่นให้สำนักพระราชวังเป้นผู้แจ้งความ แทนที่เป็น ‘ใครฟ้องใครก็ได้’ เช่นที่เป็นมากระทั่งปัจจุบัน
แต่นั่นแหละ
พลังโหนเจ้านั้นร้ายแรงนัก จนปิยบุตรต้องเขียนตอบนายสนธิญา สวัสดี โดยประกาศว่า “ผมขอยืนยันว่า
ผมจะไม่นำเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ มาเกี่ยวข้องกับพรรค
และไม่นำไปผลักดันในพรรค”
ดร.ปิยบุตร
เขียนท้าวความ “เมื่อต้นปี
๒๕๕๕ โดยผมเห็นว่า การแก้ไขในกรณีนี้จะทำให้บุคคลไม่อาจนำมาตรา ๑๑๒ มาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกัน
ป้องกันมิให้บุคคลใดแอบอ้างนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ทำลายล้างกัน
แก้ไขอัตราโทษให้ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด ทั้งนี้
เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคง อย่างทรงพระเกียรติยศ ทันสมัย
และสอดคล้องกับประชาธิปไตย”
จากนั้นเขาวิงวอนด้วยว่า
“ผมขอเรียนไปยังบุคคลที่ไม่อยากเห็นการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่
ขอเถิดครับ ขออย่าขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่เลย...การขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่
มิใช่ขัดขวางผมและเพื่อนเท่านั้น
แต่มันคือการทำลายความหวังของประชาชนผู้ใฝ่ฝันถึงอนาคตใหม่ด้วย”
ป่านนี้พวกที่เตะสกัดพรรคอนาคตใหม่ทั้งหลาย
อาจตีอกชกลมหรือกระทั่งเฉลิมฉลองกันเหมือนครั้งที่ กปปส.ได้รับชัยชนะก็ได้
มันยังอาจบ่งบอกแนวโน้มการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งและการจะมีพรรคการเมืองเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศภายใต้กฎบัตรกฎหมายของ
คสช. ว่า
อย่าหวังเลยว่าแนวความคิดก้าวหน้าใดๆ
จะได้โอกาสลืมตาอ้าปาก การจำนนครั้งนี้จะส่งผลไปถึงภายหน้า ที่ อจ.ปิยบุตรบอกว่า “ต่อให้วันนี้ พวกท่านขัดขวางไม่ให้พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นได้
แต่ก็จะมีประชาชนอีกจำนวนมากที่อยากให้มีพรรคการเมืองแบบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นอยู่ดี”
นั้นก็จะโดนเตะตัดสกัดกั้นมิให้เกิดได้อีกเช่นกัน
หรือที่ อจ.ปิยบุตร ยกคำของ Georges Clémenceau
ที่ว่า “เพราะเราสามารถปกป้องตอบโต้อย่างทรงเกียรติได้ ก็ต่อเมื่อเขาสามารถโจมตีเราอย่างเสรี”
นั้นรูปการณ์ที่ปรากฏ เขามีเสรีที่จะโจมตี แต่เราไม่สามารถปกป้องตอบโต้ได้ต่างหาก
ณ
จุดนี้บนเส้นทางอันแสนขรุขระไปสู่การเลือกตั้ง ทั้งที่เหมือนจะสั้นอยู่แค่เอื้อม
ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกว่า คสช.ไม่เพียงวางหมากวางยาไว้เกลื่อนสำหรับกำกับควบคุมการเมืองการปกครองต่อไปอีกไม่น้อยกว่า
๒๐ ปี แล้วยังมีทีท่าจะอยู่ยงคงใช้กฏระเบียบต่างที่ตนวางไว้เอง
แม้นว่าสัญญานจะขาดหายไม่เต็มห้าแท่งดีนักในช่วงนี้
เมื่อหนึ่งในผู้สมคบพรรคทหารที่เคยประกาศจะเป็นข้ารองบู้ตให้พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ในนามพรรคประชารัฐ เกิดโอละพ่อ
หันไปสนับสนุนการปฏิรูปกองทัพของพรรคเสรีรวมไทย ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
ก่อตั้ง
ดังคำให้สัมภาษณ์ของนายสมพงษ์
สระกวี อดีต ส.ว.สงขลาและ สปท.ประกาศว่า “ผมมีจุดวางเท้าทางการเมืองแล้ว
ที่พรรคเสรีรวมไทยของเสรีพิศุทธ์ โดยมุ่งหวังสร้างดาบที่คมกริบให้กับประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยอีกเล่มหนึ่ง”
ส่วนพรรคภูมิใจไทยอันเป็นที่คาดหมายว่าจะต้องคอยหนุน
พล.อ.ประยุทธ์ ทางการเมืองหลังเลือกตั้ง ก็มีรองเลขธิการพรรคออกมาประกาศเหมือนกันว่า
“พร้อมจะเสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี
และยืนยันว่าจะไม่เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะตนมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย”
อีกทั้งพ่อตัวดี ‘จินดามณี’ รำไม่ดีเล่นบทสับสน สายไป ๑๕๐ ปีกลายเป็น ‘สุนทรภู่’ เสียนี่ การถ่วงเวลายืดออกไปอีกนิดอาจเกิดขึ้นได้
ถ้าสำนักนายกฯ ส่งร่าง พรป. การเลือกตั้ง ส.ส.ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ตามที่ข่าวลือกระหึ่ม
แต่กระนั้นรัฐบาลทหารไม่หยุดยั้งสร้างผลงาน
‘ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ’ ต่อไป ครม.รับข้อกำหนดโครงการไทยนิยมยั่งยืนของกระทรวงมหาดไทย “ให้เงินอุดหนุนโครงการหมู่บ้านละ ๒ แสนบาท จำนวน ๘๒,๓๗๑
หมู่บ้านทั่วประเทศ รวมงบประมาณทั้งสิ้น ๑๖,๖๗๔ ล้านบาท”
โดยมีหลักเกณฑ์ไม่ยากเพียงว่า
ขอให้กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน สร้างรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิต โดย “น้อมนำศาสตร์พระราชา
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม” ห้ามนำเงินที่ให้ไปหมุน
ห้ามเฉลี่ยจ่ายแบ่งปันกัน “แต่ให้นำไปใช้ในลักษณะฝึกอบรมและสัมมนา” เท่านั้น