ไหมล่ะ ‘The Kim in the
North’ พูดถึงพรรคอนาคตใหม่ไว้แล้วไม่ผิด “เราจะโยงทักษิณยังไงดีครับ”
ทีนิวส์สนองทันใจ รีบหาจนเจอ “อนาคตใหม่ ตัวละครเก่า”
ของใหม่ไฟแรงก็อย่างนี้แหละสำหรับดินแดนกะลานีเซีย
ต้องเจอขวากหนามหลายด่าน แจ้งเกิดได้แล้วยังต้องลุ้น ‘เลี้ยงรอด’ ไหมด้วย
เฉพาะตอนนี้เกิดมีโรคเก่ากำเริบ
กำลังไข้ขึ้นเชียวละ เมื่อมีการเปิดวิสัยทัศน์ธนาธรและเพื่อน กลายเป็นที่วิพากษ์ขนานใหญ่ตรงแนวคิดของ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เรื่องศาสนาพุทธและปัญหาความรุนแรงในชายแดนภาคใต้
ที่เขาเคยให้สัมภาษณ์นิตยสารจีเอ็มเมื่อกลางปีที่แล้ว
ถึงขนาด บก.ฟ้าเดียวกัน คอมเม้นต์ว่า “ทำไปทำมา
ประเด็นศาสนาอาจจะสลายสีเสื้อเหลือง-แดงลงไปก็ได้ครับ เพราะทั้งเหลืองและแดงจำนวนหนึ่ง
จะสามัคคีกันแล้วหันมากระทืบคนที่เห็นต่างเรื่องศาสนา โดยเฉพาะประเด็นการเอาศาสนาออกจากรัฐ”
อันนี้ท่าจะจริง เพราะกระบวนการแดงพุทธ
(อยาก) ฆ่ามุสลิมถึงจะซาๆ ลงไปบ้าง ก็ยังกรุ่นอยู่ไม่หาย
สิ่งที่ธนาธรให้ความเห็นแก่ ‘จีเอ็ม’ เรื่อง “รัฐไทยไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ
เพราะมันทำให้ปัญหาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้แก้กันไม่จบ” (https://prachatai.com/journal/2018/03/75905)
นั้นไม่ต้องรอถึงทีนิวส์หรือแนวหน้า
‘I-D’ หรือ ‘E-Thing’ แต่นี่ อั้ม อิราวัต อารีกิจ จัดการแทน “บอกได้คำเดียวสั้นๆ
อีกนาน...กว่าพรรคจะพร้อม”
อีกอันจากอั้ม “แต่อย่าลืมแค่ว่า ‘พุทธศาสนา’ ผูกพันกับสถาบันหลักมากี่ร้อยปี
เหตุใดบางบทสัมภาษณ์จึงกระทบหัวใจ ‘พุทธศาสนิกชน’ มาก”
เจ้าตัวไม่รอช้า รีบชี้แจง “สิ่งที่ผมแสดงความคิดเห็นไว้ถูกตัดออกมาจากบริบทของมัน
การแสดงความคิดเห็นของผมในเรื่องนี้กระทำไว้นานแล้ว
และก่อนการเกิดขึ้นของพรรคเสียอีก...
โดยส่วนตัวผมเห็นว่า
สังคมไทยควรเป็นสังคมที่ไม่นำเรื่องศาสนาซึ่งเป็นสิทธิและความเชื่อส่วนบุคคล
มาสร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน...จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในกรณีปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
คือ กระบวนการพูดคุยสันติภาพ...
กระจายอำนาจให้ประชาชนมีสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองมากขึ้นในทุกภูมิภาค
ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดปัญหาความขัดแย้ง...ทันทีที่กฏหมายเปิดโอกาส
เราจะลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับผู้ได้รับผลกระทบจริง
และจะรับฟังว่าพวกเขามีความเห็นในการจัดการความขัดแย้งอย่างไร”
กว่าจะถึงตอนนั้นไม่แน่ว่า ‘อนาคตใหม่’ จะพ้นไข้หรือกลายเป็น ‘หวัดใหญ่’ ก็ไม่รู้ได้ ขึ้นอยู่กับจะมีใครสามารถปั่นให้
“เหลืองและแดงบางส่วน” รวมหัวกันถล่ม ‘ธนาธรและเพื่อน’
ได้หนักหนาจนกระทั่งเป๋
ยังดีที่มี Khemthong
Tonsakulrungruang อดรนทนไม่ไหวเพราะ “รู้สึกว่ามันจะไปกันใหญ่”
จึงนำข้อมูลความจริงมาเสนอไว้เป็นพื้นฐานในการเถียง ‘ต่อยอด’ ไปจากนี้
อจ.เข็มทองเขียนไว้หลายข้อ
ควรแก่การใส่ใจ เริ่มแรกเกี่ยวกับการประกาศศาสนาประจำรัฐ (หรือประจำชาติ) นั้นในทางสิทธิมนุษยชนไม่ได้ถือว่าละเมิดเสรีภาพทางศาสนาโดยตรง
หากเป็นเพียงสัญญลักษณ์และไม่คุกคามผู้อื่น
แต่ต่อมาในระยะหลังความเห็นเริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อผู้แทนพิเศษสหประชาชาติ (Temperman 2013) ระบุโดยตรงเลยว่า “การประกาศศาสนาประจำรัฐนั้น เป็นปัญหาในตัวเองเลย
แปลว่าไม่ต้องรอดูนโยบายอื่นแล้ว แค่ประกาศ ก็ถือว่าคุกคาม (coercion) เสรีภาพทางศาสนาของคนอื่นแล้ว”
อจ.เข็มทองอ้างข้อมูลเชิงประจักษ์ (จาก Fox
News 2016) “การประกาศศาสนาประจำรัฐอย่างเดียวไม่ส่งผลต่อเสรีภาพทางศาสนา
แต่ก็มีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การจำกัดเสรีภาพของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาประจำรัฐได้”
ในประเทศไทย
แม้จะไม่ได้ประกาศว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่รัฐธรรมนูญก็ให้สิทธิพิเศษกว่าศาสนาอื่น หนำซ้ำ “ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มมีความรุนแรงทางศาสนาสูง
ร่วมกับศรีลังกา และพม่า เรียกว่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอิสลามเสียอีก
อันนี้คนไม่ค่อยรู้ ให้ไปดู GRI/SHI ของ Pew”
และ “ในเมืองไทยรับรองเสรีภาพของทุกคนในการนับถือศาสนา
แต่ทุกคนใช้เสรีภาพได้เสมอภาคกันหรือไม่ คำตอบคือ ‘ไม่’ ศาสนาพุทธได้รับการดูแลดีกว่าศาสนาอื่นมาก”
นอกจากนั้น อจ.เข็มทองยังชี้ว่า “การพิจารณาว่าศาสนาเสมอภาคกันหรือไม่ทำได้ยาก...แต่ว่ากันตามเนื้อผ้า
พุทธได้รับการอุดหนุนเยอะกว่า แต่คนพุทธมักมองข้าม แล้วไปเพ่งเล็งอิจฉามุสลิม”
โดยเฉพาะการสร้างรัฐโลกวิสัย (หรือ Secularism) มีได้หลายแบบ “ทั้งที่เป็นมิตรกับศาสนาหรือเป็นศัตรูล้างผลาญกันไปเลย เรื่องนี้ต้องพิจารณากันอีกยาว”
แต่สำหรับเวลานี้ อจ.เข็มทองสรุปว่า
“ประชาธิปไตยอันมีพระพุทศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้น
จะเป็นปัญหาใหญ่ต่อไปในอนาคต รัฐไทยควรจะคิดๆ ไว้บ้าง ว่าถึงเวลานั้นจะรับมืออย่างไร”