นี่ถ้าไม่ ‘กำจัด’ สมชัยด้วยวิธี ม. (มักง่าย) ๔๔ ละก็
คงไม่ค่อยมีใครเห็น ‘โชว์โง่’
การใช้อำนาจไร้ขอบข่ายของมาตรา ๔๔
สั่งพักงานนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ทำให้อดีต กกต.ตัวแสบ หมดความเกรงใจ คสช. สวนกลับข้อกฎหมายชนิดถ้า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ผิวหนา
ป่านนี้หน้าแตกระแหงเป็นแผ่นดินหนองบัวลำภูหน้าแล้งไปแล้ว
ต่อกรณีที่ประยุทธ์พูดถึงข้ออ้างปลดนายสมชัยว่าทำให้เกิดการสับสนเรื่องวันเลือกตั้ง
“เขาเป็นคนกำหนดวันเวลาเลือกตั้งหรือ ใครเป็นคนกำหนด รัฐบาลกับ คสช.ไม่ใช่หรือ
หรือ กกต.เป็นคนกำหนด”
สมชัยเขาเลย fact
check ให้ว่า กกต. ครับทั่น “มาตรา ๑๐๒ และ
๑๐๓ ของรัฐธรรมนูญ ออกแบบให้มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างรัฐบาลและ กกต.
คือรัฐบาลเป็นผู้ออกกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง แต่ กกต.เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง”
อีกทั้งมาตรา ๑๐๔ ยังให้อำนาจ
กกต.เลื่อนวันเลือกตั้งได้ถ้ามีเหตุจำเป็น ด้วยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี เขาอ้างกรณีการเลือกตั้ง
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ กกต.ต้องการให้เลื่อนเลือกตั้งออกไปก่อนสองสามเดือน แต่รัฐบาล
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ยอม และไม่สามารถยับยั้ง กปปส.
และพลพรรคฝ่ายค้านขัดขวางการเลือกตั้งได้
จนท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
เข้าทางคณะทหารมาฉกเอาไปกิน ล้างกระดานการเมืองเสรีนิยม เขียนรัฐธรรมนูญใหม่สวมเขาประชาธิปไตย
คสช. ประกาศยุทธศาสตร์ชาติเพ้อเจ้อ
มุ่งหมายเพียงให้การเมืองอยู่ภายใต้กำกับบงการของคณะทหารแทบทุกกระเบียดนิ้วต่อไปอีกอย่างน้อยๆ
๕-๒๐ ปี
นั่นอาจเป็นประเด็น ‘ช่วยไม่ได้’ ในเมื่อความต้องการโค่นรัฐบาล ‘ตระกูลชิน’ ของเหล่าชนชั้นนำ ‘อิงเจ้า’ และชนชั้นกลางในเมือง ‘หัวสูง’ ถูกสุมด้วยชั้นเชิงใส่ร้ายโจมตีจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ซึ่งถูกบ่อนไส้ด้วยเส้นสายลิ่วล้อทหารในนาม กปปส. คณะยึดอำนาจ คสช.
จึงเข้าครอบครองบ้านเมืองโดยแยบยล
ถึงแม้ว่าบทบาทของนายสมชัยในการเปิดให้เห็นเนื้อร้ายระบอบ
คสช.ที่กำลังเกาะกินร่างกายแห่งประชาธิปไตยเสรี ลุกลามยิ่งขึ้นแต่ละวัน
จะมาจากเหตุตกสวรรค์หรือนายเก่าไม่เลี้ยงก็ตามที
ต้องยอมรับว่า คนที่พูดถึงการใช้ ม.๔๔
ปลดกรรมการเลือกตั้งกลางคัน เป็นการลุกล้ำก้ำเกินองค์กรอิสระนั้น รายอื่นๆ ได้รับการสนใจไม่เท่านายสมชัย
ไม่ว่าจากนายจาตุรนต์ ฉายแสง แห่งพรรคเพื่อไทย หรือนายวีระ สมความคิด
อดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)
โดยเฉพาะในประเด็นที่นายสมชัยบอกว่า “ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกเดียวกันนี้ไปยังองค์กรอิสระอื่นๆ...ไปถึงการพิจารณาตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
อาจมีความเป็นอิสระน้อยลง เพราะทุกคนรู้ว่า คสช.สามารถใช้ ม.๔๔ เพื่อปลดผู้เห็นต่างได้”
การเข้ามาจัดระเบียบการเมืองการปกครองประเทศระยะยาวถึง
๒๐ ปี โดยคณะทหาร ซึ่งอิงอ้างสถาบันกษัตริย์ (จากคำข่มคนประท้วงรัฐบาลของประยุทธ์ที่หนองบัวลำภูว่า
“ทรงทอดพระเนตรอยู่”) ประดุจดังทำหมันเสรีภาพของการเห็นต่าง และตัดเส้นเลือดแห่งการเลือกแนวทางปกครองโดยประชาชน
อย่างสิ้นเชิง
ทั้งที่ยุทธศาสตร์ชาติที่
คสช.จัดร่างไว้เป็นข้อบังคับทุกรัฐบาลในอนาคต จะแอบอ้างความก้าวหน้าทางระบบดิจิทัล
แต่ คสช.ก็จัดวางเครื่องมือกำกับควบคุมกิจกรรมสังคมในระบบดิจิทัล ให้อยู่ในกรอบรัฐทหาร
ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่จะออกมาบังคับใช้ในไม่ช้าไม่นาน
(วัดจากกรรมวิธีผ่านร่างกฎหมายสามวาระรวดในวันเดียวของ สนช.)
จากการวิเคราะห์ของ อาทิตย์
สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต มองเห็นอนาคตของการจ้องจับผิดประชาชนในสไตล์
‘บิ๊กบราเธอร์’ ได้แจ่มแจ้ง
จากโครงสร้างอำนาจของคณะกรรมการ “เหมือนถอยหลังไปเป็นยุคที่ทหารนำ
มันคือการใช้มุมมองความมั่นคงทางการทหาร เรื่องการป้องกันประเทศเป็นหลัก
ไม่มองมิติอื่น”
ไม่เพียงกำหนดเนื้อหาในการกำกับควบคุมไว้อย่างกว้างขวางมากแล้ว
“ต่อไปหากเป็นการโพสต์ลงเฟสบุ๊ควิพากษ์วิจารณ์การเมือง สถาบัน
หรือวิจารณ์เช่นยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ล้อเลียนนายกฯ” จะถูกเหมาเอาเข้าไปเป็นความผิดในข้อหาขัดต่อความมั่นคงของประเทศได้ทั้งสิ้น
นอกจากนั้นยังมีการสร้าง ‘แผนแม่บทกำกับนโยบาย’ สองง่าม
คือแม่บทการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กับแม่บทในการรักษาความมั่นคง
ซึ่งฝ่ายความมั่นคงมีอำนาจท้วงฝ่ายเศรษฐกิจฯ ได้ ขณะที่ฝ่ายเศรษฐกิจฯ
ไม่มีสิทธิเสียงท้วงฝ่ายความมั่นคงเลย
อีกประเด็นอันสำคัญต่อเสรีภาพของเอกชนในการประกอบกิจกรรมดิจิทัลก็คือ
การจะขอข้อมูลใดถ้าเอกชนเป็นผู้ขอจะต้องให้ศาลอนุมัติ
แต่ถ้าราชการขอไม่ต้องผ่านศาล อันนี้เป็นระบบรัฐราชการอย่างแจ่มแจ้ง
ในลักษณะน้อยกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบด้วยซ้ำไป
เช่นนี้แล้ว การที่ประชาธิปัตย์ส่งหลานหัวหน้าพรรค
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ไปเปิดตัวในวงสัมมนาของ ‘สุทธิชัย
อะคาเดมี่’ ที่บิ๊กซีราชดำริ ร่วมกับคุณหญิงสุดารัตน์
เกยุราพันธุ์ นายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่า “พร้อมทำงานร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว...
ยืนยันจะเป็นคนรุ่นใหม่ของประชาธิปัตย์ ผลักดันอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยก้าวพ้นจากความเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม
และเชื่อมั่นผู้ใหญ่ในพรรค” นั้นจะผลักดันอุดมการณ์ที่ว่าได้ละหรือ นี่ไม่ว่าถึงการย้อนแย้งที่จะต้องเชื่อมั่นผู้ใหญ่พร้อมกันไปด้วย
ซ้ำร้ายคนในพรรคเดียวกัน ‘บ่อนไส้’ เสียอีก ‘E-Thing’
ของหลาน ‘I-Thim’ คายไว้บนหน้าเฟชบุ๊คว่า “ประเทศชาติชาติไม่ใช่ที่ฝึกงานของเด็กรุ่นใหม่”
ทำเอาบรรดา ‘คนรุ่นใหม่ของ ปชป.’ พากันเกาหัวอุทานด้วยระบบดิจิทัลว่า
‘E-5”
หล่อนคงไม่ตั้งใจสับโขกหลานรักหัวหน้าขนาดนี้
เพียงแต่รองโฆษกพรรคนางนี้ขาดแคลนวุฒิภาวะไปนิดหนึ่ง ตั้งใจจะจวกดะ ‘ธนาธร’ พรรคอนาคตใหม่ ไม่ทันดูสารรูปตัวเองแค่นั้นแหละ