วันจันทร์, มีนาคม 26, 2561

“กองทัพกับประชาชนเป็นเนื้อเดียวกัน” ได้อย่างไร ในเมื่อสื่อรัฐประหารใส่ร้ายใส่ไคล้ #คนอยากเลือกตั้ง

“หวิดฟาดปาก” เป็นคำที่สิ่งพิมพ์ชื่อ แนวหน้า ใช้พาดหัวข่าวถึงการชุมนุมของ #คนอยากเลือกตั้ง เรียกร้องให้กองทัพยุติสนับสนุน คสช. เมื่อบ่ายถึงค่ำวันที่ ๒๔ มีนาคม

ทั้งที่เนื้อในของข่าวบอกว่า “มีเหตุผลักดันกันวุ่นวายและมีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย จนเกือบกลายเป็นการปะทะ” ที่บริเวณแยกคอกวัว และ “ดันแผงเหล็กจนสามารถเปิดทางให้ผู้ทำกิจกรรมและแกนนำ เข้ามายังพื้นที่หน้ากองทัพบก


เช่นเดียวกันกับ สปริงนิวส์บรรยายคลิปว่า “เปิดวินาฑีปะทะ” (ระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง) ทั้งๆ ที่ปรากฏในภาพวิดีโอเพียงกลุ่มคนผลักดันแผงเหล็กกั้นให้เปิดออกแล้วพากันกรูผ่านเข้าไป กับอีกภาพตำรวจนายหนึ่งพยายามสกัดกั้นและไล่ผลักดันผู้ชุมนุมสวมเสื้อแดงคนหนึ่ง


ด้วยข้อเท็จจริงที่ทราบกันอย่างกว้างขวางว่า ทั้งแนวหน้าและสปริงนิวส์เป็นสื่อมวลชนเฉพาะด้านที่สนับสนุนคณะรัฐประหาร คสช. และมักใส่ร้าย ใส่ไคล้ กระบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยตลอดมา

ไม่ว่ากระบวนการนั้นจะมาจากกลุ่มผู้นิยมชมชอบรัฐบาลเลือกตั้งของสองอดีตนายกฯ ตระกูลชินวัตร หรือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และการดำรงชีวิต หรือคนหนุ่มคนสาวที่มุ่งมั่นเรียกร้องสิทธิและความเสมอภาคทางประชาธิปไตย

การนำเสนอข่าวในลักษณะก้าวร้าวเช่นนั้น บ่งชี้ถึงเจตนาปลุกปั่น แบ่งแยกมวลชน และสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน เช่นเดียวกับเมื่อครั้ง นสพ.ดาวสยาม และวิทยุยานเกราะ ปลุกปั่นจนเกิดเหตุการณ์รุมสังหารนักศึกษาอย่างบ้าระห่ำ ในเหตุการณ์วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
 
ยังดีที่รัฐบาลทหารขณะนี้ไม่ได้ทำตัวเหมือนรัฐบาลทหารขณะนั้น แทนที่จะส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงเช่นที่สื่อสนับสนุนเผด็จการสองรายวาดหวัง พลตรีปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผบ.มทบ.๑๑ หนึ่งในทีมงานโฆษก คสช. กล่าวถึงการชุมนุมเมื่อคืนวันที่ ๒๔

“ถือว่าเป็นบททดสอบฝ่ายความมั่นคง ที่ต้องดูแลความสงบ รักษาบรรยากาศ ไม่ให้มีการกระทบกระทั่ง เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติอย่าเหมาะสม...เจ้าหน้าที่ ก็ใช้ความอดทน ไม่มีความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น” หากรายงานโดยวาสนา นาน่วม ดังกล่าวควรแก่การรับฟัง

มิใยที่โฆษก คสช. เผยว่า “ไม่อาจตอบรับข้อเสนอของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่ให้กองทัพเลิกสนับสนุน คสช. แล้วมาอยู่ข้างประชาชน” ได้ มิหนำซ้ำยังแย้มด้วยว่า “ตอนนี้ เจ้าหน้าที่กำลังรวบรวม พยาน หลักฐานเพื่อตรวจสอบว่าผู้ชุมนุมได้กระทำผิดในกรณีใดบ้าง” ก็ตาม

วิธีการย้อนศรของ คสช. ลูบหลังก่อนแล้วค่อยตบหัวทีหลัง ละมัง ทั้งที่ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม (จากคำปราศรัยของ รังสิมันต์ โรม แกนนำคนหนึ่ง) ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงอันใด เพียงต้องการให้มีเลือกตั้งแน่ๆ ในปีนี้ ไม่ใช่เลื่อนออกไปได้เรื่อยๆ ดังเช่นที่เลื่อนมาแล้วสี่ครั้ง
 
คำพูดของรังสิมันต์ที่ว่า การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ เมื่อบรรยากาศการเมืองไทยปลอดทหาร” ถ่องแท้ต้องตรงกับสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง เพราะการมีทหารครองเมืองตลอดจะสี่ปีที่ผ่านมา ชีวิตความเป็นอยู่ของคนจำนวนมากย่ำแย่ลงไปเทียบไม่ติดกับเมื่อครั้งประเทศยังอยู่ในการบริหารของรัฐบาลเลือกตั้ง

ข่าวที่ผุดออกมารายวันเรื่องการคอรัปชั่นโกงกินโดยคนในวงราชการ แม้กระทั่งวันวานนี้เองปูดอีกราย “โคตรโกงโผล่กรมชล หลังชาวบ้านร้องทุจริตจ้าง แรงงานผี ขุดแก้มลิงโคราช” เมื่อ รมว. เกษตรฯ เองจำต้องยอมรับว่ามีจริง

แม้นว่า ผอ.สำนักชลประทานจะแถไถว่า “ความผิดที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากความประมาท ไม่รอบคอบ ไม่ได้เกิดจากความเจตนาหรือจงใจใดๆ และพบโครงการที่มีปัญหาจริงๆ ไม่ถึง ๑%
ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน 
ขณะเดียวกันปรากฏเพิ่มเติมอีกว่า การทุจริตในกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เป็นข่าวอื้อฉาวมาพักใหญ่ และพบว่ากระจายออกไปกว้างขวางกว่า ๔๐ จังหวัด “พบว่ามีเงินหายไปอีกประมาณ ๓๐ ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเงินที่หายไปเป็นเพราะทุจริตทั้งหมดหรือไม่”


ความรู้สึกแบบ พอกันทีกับการตั้งตนเป็นผู้วิเศษครองอำนาจบ้านเมือง สั่งโน่นสั่งนี่ ด้วยการเขียนกฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงไปถึง คำสั่งยุทธศาสตร์บ้าง การปฏิรูปก็มี ล้วนมองไม่เห็นได้สักนิดว่าจะทำให้คนในประเทศลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้เท่าเทียมกันอย่างไร ซ้ำยิ่งนับวัน ท้องกิ่ว หนักลงไปอีก

จากข้อเขียนทางสื่อสังคมของผู้ใช้นาม Thuethan Prasobchoke ถึงสถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำหนักในขณะนี้ “ชาวสวนปาล์มน้ำมันคงต้องเตรียมรับสถานการณ์ราคาที่จะตกต่ำลงไปอีก

ตอนที่ราคายางพาราตกต่ำ หนึ่งในพืชที่ผู้นำประเทศแนะนำให้ปลูกทดแทนยาง ก็คือปาล์มน้ำมันนี่แหละ พอตอนนี้ปาล์มราคาตกต่ำ ก็ไม่รู้ว่าผู้นำจะให้ไปปลูกอะไรอีก”

ตามที่ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่แจ้งว่าขณะนี้ “ราคาผลปาล์มเทกองลดลงเหลือ กก.ละ ๒.๗๐ บาท ส่วนราคาผลปาล์มทะลาย (เปอร์เซ็นต์น้ำมัน ๑๘%) อยู่ที่ กก.ละ ๓.๒๐ บาท ถือเป็นราคาต่ำสุด ขณะที่ต้นทุนเกษตรกรอยู่ที่ กก.ละ ๓.๗๐ บาท”


“เป็นที่น่าสังเกตุว่า ไม่เคยมีรัฐบาลไหนในอดีตที่ผ่านมา ที่พืฃผลทางการเกษตรจะตกต่ำทุกตัวเหมือนรัฐบาลนี้มาก่อน” เป็นเสียงบ่นทางโซเชียลที่รัฐบาล คสช. ไม่ยี่หระ

แล้วอย่างนี้ “กองทัพกับประชาชน เป็นเนื้อเดียวกัน” ตามคำของพลตรีปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ได้อย่างไร ในเมื่อคณะทหารเบ่งบานอูฟู แต่ชาวบ้านคนทำมาหากินกลับแห้งเหี่ยวยากไร้