วันเสาร์, ธันวาคม 10, 2559

ยากเยียวยา...





ข้อเขียนวันนี้ (๑๐ ธันวา) ของ วัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส. และรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

น่าสนใจมิใช่เพราะเขาเขียนถึงความไม่สบายใจของทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ของ โรจน์ งามแม้น ผู้ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอดีตนายกรัฐมนตรี พาดพิงเสียหาย

ถึงขั้นที่วัฒนาเห็นว่า “เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา ๓๒๘”

วัฒนายกเอาตัวบทกฎหมายหลายฉบับมาอ้างการกระทำผิดของ นสพ.ไทยโพสต์ ที่ “กล่าวหาว่ารัฐบาล สปป. ลาวเป็นผู้ให้แหล่งพักพิงผู้กระทำผิด ถือเป็นความเท็จและข่าวสารที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

รวมทั้งหมิ่นประมาทบุคคลอื่น ตามข้อ ๓ (๑) และ (๒) ของประกาศ คสช. ฉบับที่ ๙๗/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และประกาศ คสช. ฉบับที่ ๑๐๓/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗”

ความน่าสนใจยิ่งนักอยู่ที่ เขาบอกว่า “ผู้เขียนและหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์คือผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา กล่าวคือ

ข้อความที่พาดพิงถึงการเปลี่ยนแปลงรัชกาลและการแต่งตั้งองคมนตรีอันเป็นพระราชอำนาจ เป็นความผิดตามมาตรา ๑๑๒”

ซึ่งบทความคอลัมน์ ‘บันทึกหน้า ๔’ ดังที่วัฒนาอ้างนั้นหายไปจากเว็บไซ้ท์ของไทยโพสต์ ทั้งๆ ที่เป็นคอลัมน์ประจำวันนี้ อย่างไรก็ดีมีการเสนอข่าวเกี่ยวกับข้อเขียนวัฒนาที่หน้าหลักว่า

“แนะ ‘แม้ว’ ฟ้องไทยโพสต์หมิ่นประมาท” โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ “เรื่องที่นำท่านมาพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงนั้นเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน

จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการ ซึ่งผมเห็นเป็นโอกาสดีที่จะพิสูจน์ว่ารัฐบาลจะรักษากฎหมายและกล้าที่จะดำเนินคดีกับสื่อที่เป็นพวกตัวเองหรือไม่...”

วัฒนาปิดท้ายข้อเขียนของเขาว่า “ข้อกฎหมายและประกาศต่างๆ ผมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ถ้ามัวแต่เอาเวลาราชการไปเตะตะกร้อหรือตีแบดโชว์ไปวันๆ ก็ถือเป็นวิบากกรรมของคนไทยแล้วกัน”

อันที่จริงวิบากกรรรมนั้นเริ่มแล้ว ดังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามรบกวนและเรียกตัวผู้ใช้เฟชบุ๊คเอาไปปรับทัศนคติแล้วไม่ต่ำกว่า ๖ ราย โทษฐานที่ติดตามอ่านข้อเขียนของ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการตัวยงด้านประวัติศาสตร์สถาบันกษัตริย์ไทย ซึ่งลี้ภัยคดี ๑๑๒ อยู่ในประเทศฝรั่งเศส

แน่ละ การก้าวก่ายคุกคามสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนในการใช้ระบบสื่อสารสังคม ด้วยการให้ตำรวจเที่ยวไปรังควาญแฟนคลับของ สศจ. เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าผู้กำอำนาจรัฐจะตีความให้เป็นเช่นไร





มิหนำซ้ำเดี่ยวนี้ล้ำเข้าไปถึงการเอาผิดกับวิธีการมอง ดังกรณีที่มีข่าวว่าอัยการในคดีจำนำข้าว ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลย บังเกิดความอึดอัดกับสายตาจ้องมองของ ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล ซึ่งไปนั่งฟังให้การในศาลเกือบทุกครั้ง

จึงได้มีการจัดตั้งองค์คณะไต่สวน ๓ นายขึ้นทำสำนวนในข้อหาแยกต่างหากจากคดีจำนำข้าว ว่า ‘หม่อมเต่านา’ ละเมิดอำนาจศาล พร้อมกับ “ผู้ถูกกล่าวหาอีกหนึ่งราย”

(http://prachatai.org/journal/2016/12/69176)

แบบนี้เป็นดังที่ Atukkit Sawangsuk กระแซะไว้ไม่มีผิด “จากกดไลค์กดแชร์มีความผิด ต่อไปนี้ แค่ใช้สายตาก็ละเมิดอำนาจศาลได้ โดยไม่ต้องพูดอะไรซักคำ ยุคแห่งการเอาผิดด้วยการตีความ”

ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การพยายามลบล้างชนักปักหลังตนเองที่ยึดอำนาจเขามาแล้วไม่มีน้ำยาสารต่อ การบริหารบ้านเมืองให้อูฟูอย่างเดิมได้ เลยไล่บี้รัฐบาลที่แล้ว เอาผิดดะ สะเปะสะปะไปกันใหญ่





ดังเช่นความพยายามจะดึงจีดีพีของประเทศขึ้นมาจากเหว ด้วยการเด็ดผักชีโรยหน้า ตั้งงบประมาณกลางปี ๒๕๖๐ ไว้อีกเกือบ ๒ หมื่นล้าน หมายดันจีดีพีปีหน้าให้ขึ้นไปสูงกว่า ๓.๒ เปอร์เซ็นต์ แก้หน้าจากที่หดหู่มาสองปี

เลยโดนผู้เชี่ยวชาญธนาคารโลกตบหน้าฉาดใหญ่ เมื่อ “นายชูเดีย แชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๐ จะอยู่ที่ร้อยละ ๓.๑ เท่ากับปีนี้

ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำอยู่ในอันดับรั้งท้ายของกลุ่มประเทศเอเซียตะวันออก...เป็นรองมาเลเซีย และอินโดนีเซีย”

นั่นจากการสัมมนาระหว่างธนาคารโลกและทีดีอาร์ไอ เมื่อวานนี้ (๙ ธ.ค.) “โดยเห็นว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำ แต่รัฐบาลไทยไม่ควรเร่งอัตราการเติบโตมากเกินไป และไม่ควรทำให้เศรษฐกิจเติบโตไม่แท้จริง เพราะมีความเสี่ยงสูง”

(http://news.voicetv.co.th/business/440400.html)





ผู้เชี่ยวชาญของเวิร์ลด์แบ๊งค์คนนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า “เครื่องจักรสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือ การส่งออก และการบริโภคในประเทศ”

ส่วนการลงทุนของภาครัฐ ที่รัฐบาล คสช. เบิกใช้แล้วใช้อีกตลอดสองปีที่ผ่านมานั้น “จะมีส่วนช่วยได้บ้าง” แต่ว่าอย่างดีก็แค่ สัก ๕-๖ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง