วันศุกร์, มีนาคม 18, 2559

เกมส์อำนาจ Non Zero Sum : พะจุณณ์-ปีย์-มีชัย...อานันท์

เกมแห่งอำนาจ ( Game of Power)
ชำนาญ จันทร์เรือง

หลายๆคนคงสงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับการเมืองไทยในปี 2559 นี้ ทั้งๆที่ดูเหมือนว่า คสช.จะสามารถกุมอำนาจไว้ได้โดยเด็ดขาด แต่ก็มีแรงกระเพื่อมและความขัดแย้งภายในที่หลุดออกสู่สาธารณะเป็นระยะๆ

ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งความดำเนินคดี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในข้อหาความผิดเกี่ยวกับ พรบ.คอมพิวเตอร์เพราะว่ามีการส่งไลน์เกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


หรือกรณีเกี่ยวกับการที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหลบฉากการเข้าร่วมประชุมแม่น้ำห้าสายในวันที่ 7 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าหากเข้าร่วมฯกลัวจะถูกผูกมัดตนเองในการร่างรัฐธรรมนูญ จนเป็นที่มาของกระแสข่าวว่า กรธ.ไม่เห็นด้วยต่อข้อเสนอที่จะให้มีสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาในระยะเวลาห้าปีแรกของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ถ้าผ่านประชามติในวันที่ 7 ส.ค. 59) จน คสช.ต้องมีหนังสืออย่างเป็นทางการเพื่อยืนยันความต้องการนี้ และมีข่าวออกมาว่านายมีชัยอาจลาออกจากการเป็นประธาน กรธ.หากถูกกดดันมากเกินไป ซึ่งจะนำความยุ่งยากตามมาเกินกว่าจะคาดคะเนได้

ทั้งหมดทั้งปวงนี้เมื่อวิเคราะห์ตามหลักวิชาการแล้วก็ไม่ได้ถือว่าผิดปกติแต่อย่างใด เพราะล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ เกมแห่งอำนาจ ดีๆนี่เอง โดยที่ ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ปรมาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า การเมือง เป็นเรื่องของการได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร

อำนาจ (power) ในที่นี้หมายถึง พลังอะไรบางอย่างที่จะสามารถบังคับให้คนหรือกลุ่มบุคคลที่มีพลังน้อยกว่ากระทำตามที่ตนต้องการ ฉะนั้น อำนาจจึงเป็นสิ่งที่หอมหวนและน่าพิสมัยเป็นยิ่งนัก บางรายถึงกับเสพย์ติดจนไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงทั้งหลาย

เกมส์ (games) หมายถึง สถานการณ์ที่มีการแข่งขัน (หรือการขัดแย้ง) ระหว่างกัน ตั้งแต่ ๒ ฝ่ายขึ้นไป ที่ใช้กันมากได้แก่ เกมในการกีฬา ส่วนในการเมืองก็เช่นเดียวกันเพราะมีสถานการณ์แห่งการขัดแย้งและการแข่งขันคล้าย ๆ กับเกมในการกีฬา

ทฤษฎีเกมนี้เริ่มนำมาเผยแพร่ในปี ค.ศ. 1928 โดยนักคณิตศาสตร์ชื่อ จอห์น ฟอน นิวแมน (John Von Newmann) ที่นำมาอธิบายเรื่องการแข่งขันกันทางเศรษฐกิจ จนทำให้เขาได้รับสมญานามว่าเป็นบิดาของทฤษฎีเกม โดยทฤษฎีเกมนี้จะเป็นการศึกษากระบวนการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ที่ขัดแย้งกัน (conflict situations) โดยเราสามารถแบ่งเกมส์ออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ

1) เกมส์ที่มีผลรวมเป็นศูนย์ (zero-sum games) เป็นเกมที่ผลรวมผลได้ของผู้ชนะมีค่าเท่ากับผลรวมความเสียหายที่ผู้แพ้ได้รับ และที่หนักที่สุดคือผู้ชนะได้หมดที่เราเรียกว่า “The winner takes all” ซึ่ง   ผู้เสียจะสูญเสียไปทั้งหมด เกมชนิดนี้จึงเป็นเกมที่ต้องต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง แพ้ไม่ได้เพราะถ้าแพ้ก็อาจหมดตัวไปเลย

2) เกมส์ที่มีผลรวมไม่เป็นศูนย์ (nonzero-sum games) เป็นเกมส์ที่มีกลยุทธ์ที่ผลได้ของผู้ชนะมีค่าไม่เท่ากับความเสียหายที่ผู้แพ้ได้รับ ในเกมชนิดนี้ผู้แข่งขันทุกคนอาจเป็นผู้ชนะ (win-win) หรือในทำนองกลับกันก็อาจจะเป็นผู้แพ้ (loss-loss) ทั้งหมดก็ได้

จากที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อนำมาวิเคราะห์กับสถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีผู้เล่นเกมแห่งอำนาจ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ฝ่าย ใหญ่ ๆ คือ

1) ฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหาร ซึ่งแบ่งเป็น 2 ฝ่ายย่อยๆ คือ ฝ่ายเอาทักษิณ เช่น ฝ่ายพรรคเพื่อไทยและนปช. กับฝ่ายที่ไม่เอาทักษิณ เช่น ฝ่ายประชาชนและนักวิชาการที่ต่อต้านระบอบอำนาจนิยม(authoritarianism) ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือการรัฐประหารก็ตาม

2) ฝ่ายที่เอารัฐประหาร ซึ่งแบ่งเป็น 2 ฝ่ายย่อยๆ อีกเช่นกัน คือฝ่ายหนุนทหารกับฝ่ายหนุนอำมาตย์ ซึ่งกำลังต่อกรกันอย่างหนักในปัจจุบัน


ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการที่ฝ่ายหนุนทหารพยายามเสนอให้มี สว.ที่มาจากการสรรหา เพราะเชื่อว่าจะสามารถแทรกแซงได้ง่ายกว่าการพยายามเพิ่มอำนาจศาลทั้งหลายของฝ่ายหนุนอำมาตย์ ซึ่งฝ่ายหนุนทหารคิดว่าแทรกแซงได้ไม่สะดวกนัก มิหนำซ้ำคุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ยังออกมาให้สัมภาษณ์ทางทีวีเมื่อ 7 มีนาคมอีกว่า การหาคนมาเป็นนายกฯ แทน พล.อ.ประยุทธ์นั้นหาไม่ยาก และก็คงมิใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอนที่คุณอานันท์ ปันยารชุน จะไปพูดให้แก่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศฯ (FCCT) ในวันที่ 23 มีนาคมนี้

อย่างไรก็ตามเมื่อเรานำทฤษฎีเกมเข้ามาวิเคราะห์แล้วจะเห็นได้ว่า เกมแห่งอำนาจของการเมืองไทยนี้มีปัจจัยที่จะต้องนำมาศึกษาและวิเคราะห์เพื่อประกอบในกลยุทธ์ที่จะใช้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงและรักษาอำนาจที่ว่านั้น มีปัจจัยแตกต่างและมากกว่าบ้านอื่นเมืองอื่นพอสมควร

ที่ว่าแตกต่างจากบ้านอื่นเมืองอื่นก็คือ โดยปกติแล้วการตัดสินเกมแห่งอำนาจเพื่อชัยชนะทางการเมืองในบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั่ว ๆ ไปแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ขาดก็คือ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ผู้ที่ทำหน้าที่คอยตรวจสอบและรักษากติกาก็คือองค์กรที่จัดการเลือกตั้ง และองค์กรตุลาการที่พิจารณาพิพากษาคดีในกรณีที่มีปัญหาในด้านความชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น

แต่ของไทยเรานอกเหนือจากปัจจัยที่ว่ามานี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นที่จะต้องนำมาพิจารณาอีก อาทิ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ กลุ่มพลังอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบ ตลอดจนผู้คนที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือในสังคม ฯลฯ

ฉะนั้น ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจที่จะใช้อธิบายการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในวิกฤติการณ์ของการเมืองไทยในคราวนี้ จึงอธิบายได้ว่า มิใช่เป็นเพียงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างฝ่ายที่เอากับไม่เอารัฐประหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้แย่งชิงกันในระหว่างกลุ่มย่อยลงไปอีกชั้นหนึ่ง

ผลของการแพ้ชนะในการต่อสู้ทางการเมืองในครั้งนี้จึงมิใช่ zero-sum games หรือ the winner takes all แต่จะเป็น nonzero-sum games เพราะจวบจนถึงปัจจุบันนี้ยังมองไม่เห็นว่าใครจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากชัยชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้

มีแต่มองเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้น (loss-loss) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อประเทศชาติ

ซึ่งเปรียบเสมือนเวทีของการเล่นเกมแห่งอำนาจนี้ต้องพลอยได้รับผลแห่งความเสียหายอย่างมิอาจประเมินได้ เพราะเหตุแห่งการที่ผู้เล่นเกมหวังมุ่งแต่เพียงชัยชนะโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่ตามมานั่นเอง

--------------------
หมายเหตุ  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 16 มีนาคม 2559