เมื่อก่อนตอนอยู่ภายใต้รัฐบาลทหาร หรือจะแบบทหารใส่สูทก็ตาม ตลก.รธน.รู้จักเก็บงำไม่ออกอาการจ๋าดังเช่นขณะนี้ หลังตัดสินแบบ ‘มีธงลงมา’ ตลก.รธน.จะไม่ดี๊ด๊าเท่านี้ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะมีองค์ลงพอประมาณ
นี่คือทั่นประธานฯ ผู้ซึ่งหลังแถลงคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลได้วันเดียว ก็ไปปาฐกถาโดยเอากรณียุบพรรคก้าวไกลไปยกตัวอย่าง ให้มันดูคล้องจองกับหัวข้อปาฐกถาที่ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน”
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ไม่รั้งรอที่จะยกเอาการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลมาใช้อ้าง ว่า “บุคคลเพียงคนเดียวร้องว่า มันมีการใช้สิทธิของคณะบุคคลอื่น และการใช้สิทธินั้นมาละเมิดหลักการปกครองของประเทศ” ทั่นประธานฯ แย้มนิดๆ ถึงคดีดังกล่าว
เมื่อเดือนมกรา “มีคนมาร้องศาลรัฐธรรมนูญ เขาใช้สิทธิตามมาตรา ๔๙ ของ รธน. ศาล รธน.ก็รับและตัดสินไป ซึ่งมีผลผูกพันมาถึงเรื่องเมื่อวานนี้” ซึ่งก็คือการตัดสินว่าพรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครอง จึงสั่งให้หยุดการกระทำนั้นเสีย
ขณะที่ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลชี้ว่า นั่นมันคนละคดีกัน หากศาลฯ จะโยงเนื้อหาคดีนั้นมาใช้พิจารณา ก็ควรเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้แก้ต่าง เฉกเช่นคดีตามปกติ แต่นี่ศาลฯ ยืนกรานให้คดียุบพรรคเป็นส่วนต่อขยายของคดีล้มล้างการปกครอง
นครินทร์ยกเอามาอ้างอย่างเหลวไหล ว่ารับพิจารณาคดีที่ กกต.เป็นผู้ร้อง เพราะสืบเนื่องกับคดีเมื่อต้นปีที่มีประชาชนคนเดียวยื่นคำร้อง จึงไม่ยอมเปิดไต่สวนคดีใหม่ และวินิจฉัยด้วยการตีตกข้อต่อสู้ต่างๆ ของพรรคก้าวไกล
แล้วมาอ้างว่าเป็นการปกป้องการใช้สิทธิตามมาตรา ๔๙ ปัดตกข้อต่อสู้ต่างๆ ของผู้ถูกร้องอย่างไร้เยื่อใย แม้แต่การลุกลี้ลุกลนรีบฟ้องของ กกต. และการที่ศาลฯ เองเคยยกฟ้องคดีลักษณะนี้มาก่อน เพ่งดูดีๆ จะเห็นเหมือนมีธงตั้งมาให้
นครินทร์บอก คนๆ เดียวยื่นฟ้องร้องห้างสรรพสินค้าที่มาตั้งในหมู่บ้าน “ทำลายระบบการปกครองของหมู่บ้าน” ว่าเป็นเรื่องน่ายกย่อง โดยมิต้องอธิบายให้กระจ่างว่าห้างนั้นทำลายอย่างไร ขณะคนเดียวที่ฟ้อง อาจจะเลื่อนลอยก็ได้
เป็นความอหังการของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ มั่นใจในความเป็น ‘องค์กรสูงสุด’ ของตน ไม่ยี่หระว่าอีกสามปีข้างหน้าอะไรจะเกิดได้บ้าง