วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 25, 2567

ย้อนอ่านโพสต์ "ต้าร์ถูกฆ่า..." จาก จักรภพ เพ็ญแข กรณีอุ้มหาย ต้า วันเฉลิม


จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair
June 9, 2020·

จาก จักรภพ เพ็ญแข
ต้าร์ถูกฆ่า และผลกระทบต่อไทยทั้งประเทศ
ต้าร์ หรือ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ถูกอุ้มเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2563 เวลา 17.54 น. กลางกรุงพนมเปญของกัมพูชา เมื่อเราโยงเรื่องนี้ไปสู่การอุ้ม-ฆ่านักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน 7 ท่านในลาวและเวียดนามก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึง อาจารย์สุรชัย แซ่ด่าน และ คุณชูชีพ ชีวสุทธิ์ หรือลุงสนามหลวง เราก็มีความหวังน้อยมากที่จะได้เห็นต้าร์รอดชีวิตและได้พบเห็นต้าร์แบบเดิมอีก
ต้าร์เป็นคนเก่ง ฉลาด รื่นเริง นิสัยดี และมีอุดมการณ์ คนที่รู้จักต้าร์จะหัวเราะกับเพจประเภท "กูต้องได้ร้อยล้านจากทักษิณ" ที่ต้าร์ทำ เพราะเขาทำเพื่อประชดประชันเสียดสีฝ่ายตรงข้ามที่ดูแคลนนักประชาธิปไตยว่ารับเงินทองจนเป็นขี้ข้าทักษิณ เพราะในใจจริงๆ แล้ว ซากเดนของระบบอุปถัมภ์พวกนี้ ไม่กล้ายอมรับว่า กองทัพของนักสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงเมืองไทยที่เป็นตัวจริงและของจริงมีอยู่มากมายทั่วเมือง จึงต้องร่วมขบวนการตอแหลดูถูกนักสู้และผู้เสียสละ หลอกตัวเองอย่างกบที่ซ่อนตัวในกะลา และยอมให้คนโรคจิตลากชีวิตตัวเองลงสู่ขุมนรก เพราะไม่กล้ายอมรับว่าเวรกรรมกำลังจะตามมาถึงตัวหรือลูกหลานของตัวในไม่ช้า เมื่อรู้ข่าวต้าร์ถูกเขาฆ่าล้างผลาญ เช่นเดียวกับวีรชนทุกๆ ท่าน จนถึงผู้กล้าจากราชประสงค์ทุกๆ ชีวิตเมื่อ พ.ศ.2553 ผมต้องเสียน้ำตามาก แต่ผมไม่เสียกำลังใจ หัวใจที่ทำท่าจะสลายในเวลาสั้นๆ กลับรวมตัวขึ้นใหม่กลายเป็นหัวใจที่มั่นคงเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม ต้าร์มีอำนาจวิเศษที่ทำให้ผมเศร้าสะเทือนใจ หัวใจสลาย หัวใจฟื้นตัว และเกิดจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคงในห้วงเวลาเดียวกันได้
เขาสั่งฆ่า 3 คนคือ ต้าร์ พันตำรวจเอกศิวพงษ์ พัฒน์พงศ์พานิช และตัวผม ต้าร์ถูกอุ้มไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้ พันตำรวจเอกศิวพงษ์ฯ ซึ่งเป็นอดีตรองผู้บังคับการกองปราบฯ ก็ถึงแก่ความตายด้วยการเสพยาเกินขนาดไปก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน โดยประวัติแล้ว พ.ต.อ ศิวพงษ์ฯ เป็นลูกชายของ พล.ต.ท. คมกฤช พัฒน์พงศ์พานิช อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส) และเคยเป็น รอง ผบก ที่ บช.ปส. 2 ก่อนจะย้ายมาอยู่กองปราบปรามฯ ถูกลากเข้าสู่วังวนของอำนาจและผลประโยชน์ขนาดใหญ่ และสุดท้ายก็ต้องพบเจอชะตากรรมเช่นนี้ ตกลงรายชื่อนี้ก็เหลือตัวผมอีกเพียงคนเดียว และผมก็คงยังไม่ใช่คนสุดท้ายของมหกรรมทำบาปในครั้งนี้
ปฏิบัติการลับ (covert operation) ครั้งนี้ มีลักษณะที่ซ้ำกับการฆ่า 7 ท่านที่ลี้ภัยไปอยู่ลาวและเวียดนาม นั่นคือ
1. เลือกเป้าหมายที่ไม่มีกลุ่มอำนาจใดขัดขวาง หรือได้รับการสนับสนุน
2. ซุ่มซ่อนสังเกตพฤติกรรมของเป้าหมาย
3. อุ้ม นำตัวไปทำร้ายทรมาน รีดข้อมูลแบบบีบบังคับให้ใส่ร้ายคนอื่นๆ ก่อนจะสังหาญผลาญชีวิต
4. เมื่อพลาดท่าจนเกิดการออกข่าว อย่างในกรณีของต้าร์ ทีมตอแหลในเมืองไทยที่เป็นบุคคลบ้าง สำนักข่าวบ้าง ก็ออกมาทำหน้าที่สร้างความสับสนในสังคม ออกข่าวเท็จว่าต้าร์ยังไม่ตายบ้าง ตั้งข้อสงสัยนั่นบ้างนี่บ้าง จนถึงขนาดลงทุนออกผลสำรวจประชามติที่ถามนำและเจาะจงถามลงไปยังกลุ่มที่ถูกล้างสมองมาแล้ว เพื่อโฆษณาชวนเชื่อว่าคนส่วนมากไม่เชื่อว่าต้าร์ตายจริง แล้วอาศัยความชุลมุนนี้เอาตัวรอดด้วยการติดตามทำลายหลักฐานที่เขาเข้าถึงได้ เพื่อป้องกันคดีความในอนาคต
5. ต้าร์ถูกล็อคคอจากด้านหลังในขณะพูดโทรศัพท์กับพี่สาว เขาจึงตะโกนออกมาว่า "โอ๊ย หายใจไม่ออก" ซึ่งตรงตามเหตุการณ์และสมเหตุสมผล แต่ทึมตอแหลในระบบอุปถัมภ์ศักดินาเหล่านี้ ก็ยังทำบาปต่อเนื่องด้วยการออกมาทำท่าทีเยาะเย้ยว่าเรื่องของต้าร์เป็นละครเลียนแบบ จอร์ช ฟลอยด์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ถูกตำรวจเมืองมินนีอาโปลิสฆ่าตาย จนกลายเป็นกระแสอันใหญ่หลวงต่อต้านการแบ่งแยกเหยียดหยามมนุษย์ไปทั่วโลกจนถึงเวลานี้
6. การอุ้มฆ่าจึงหวังให้ไม่มีข่าว แต่เตรียมแผนสำรองไว้ว่า ถ้าเกิดข่าวขึ้นก็ปล่อยข้อมูลเท็จและมีลักษณะขัดแย้งเพื่อให้เกิดความลึกลับสับสน และเผยแพร่ข้อมูลเท็จมาทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกฆ่า เพื่อลดความเห็นใจของคนที่ไม่รู้ ก่อนหน้านั้นก็ทำลายร่างและหลักฐานต่างๆ ไปจนหมดสิ้น ให้ดูเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
7. การดูแคลนว่าต้าร์เป็นคนที่ไม่มีความสำคัญ จึงไม่มีเหตุผลให้ถูกอุ้มนั้น ก็คือเล่ห์เหลี่ยมส่วนหนึ่งของขบวนการตอแหลทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณ คนที่ออกข่าวก็รู้อยู่ในกะโหลกมากกว่าใครๆ ว่า ปฏิบัติการนี้มาจากคำสั่งอันปฏิเสธมิได้ ไม่ต้องมีเหตุผลหรือหลักฐานใดๆ มารองรับ ไม่มีทางอิดออดทัดทานหรือเถียงกลับ ถือเป็นเรื่องของอารมณ์อันวิปลาสและความหลงในอำนาจอย่างหนักโดยแท้
สรุป: การฆ่าต้าร์จึงเป็นงานของเครือข่ายเดิมและด้วยวิธีการเดิม (same team, same team, same techniques)
เราไม่มีวันยอมให้ชีวิตของต้าร์และวีรชนทั้งหมดของขบวนประชาธิปไตยหมดสิ้นไปอย่างสูญเปล่า แต่เรื่องนี้มีจังหวะเวลาของมัน กรณีหมู่อาร์มออกมาเปิดเผยทุจริตในกองทัพบกอาจมีความสำคัญมากกว่าข่าวที่ออกมา และความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของสหภาพยุโรปและประเทศที่มิได้เป็นสมาชิก ก็ย่อมมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกัน เขาต้องการให้เราเกิดอารมณ์แค้นและใส่อารมณ์แค้นเข้ามาในการเดินงาน ซึ่งจะทำให้งานนั้นหยาบ บกพร่อง และผิดพลาดง่าย เราจึงบริหารอารมณ์ของเราให้สมดุลเพื่อผลในอนาคต ธรรมในพระพุทธศาสนาช่วยให้สติปัญญากับผมมากในขณะนี้ เช่นเดียวกับที่ให้ผมมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต
ผมไม่ได้ตั้งใจจะเผยแพร่ข้อเขียนเล็กๆ นี้ในวันที่ 9 มิถุนายน แต่เกิดมาตรงกันพอดีอย่างน่าทึ่ง วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 คือวันที่เกิดกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 อันเป็นความรุนแรงและแรงเหวี่ยงภายในราชสำนัก และวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2551 คือในอีก 70 ปีเต็มต่อมา ผมเขียนใบลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ซึ่งต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้สั่งไม่ฟ้องและได้สั่งระงับคดีไปแล้วจนหมดสิ้นทั้ง 2 คดี
การฆ่าและการใช้ความรุนแรงอันเกิดจากโมหะจริตนั้น มีแรงเหวี่ยงแห่งกรรมที่รุนแรง ผลแห่งความชั่วร้ายอาจยาวนานมาส่งผลครอบคลุมในหลายชั่วอายุคน ผู้ที่ปฏิบัติธรรมและมีปัญญา สามารถยับยั้ง ลดความรุนแรง หรือหยุดกรรมชั่วได้ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าขาดปัญญาและถลำตัวลึกลงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีใครช่วยเหลืออะไรได้
เป้าหมายของเราไม่มีเปลี่ยนแปลง
1. พิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นคนของคนไทย
2. เพิ่มอำนาจและทรัพยากรให้แก่มวลชน ให้เขานำไปใช้พัฒนาตัวเองตามความรู้ความสามารถ
3. ทลายเพดานแก้วของชนชั้นนำและอำมาตย์ที่จำกัดความเติบโตของลูกชาวบ้านอยู่ จนเกิดโอกาสและทรัพยากรอันเท่าเทียมและเสมอภาค
4. พัฒนาไทยไปสู่ความเป็นพลโลกที่รับผิดชอบ ใจสูง และมีศักดิ์ศรี
5. เพิ่มอำนาจป้องกันตัวเองของมวลชนจากการกดขี่ข่มเหง
ต้าร์ และผู้เสียสละเพื่อประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทุกๆ ท่าน ยังคงเป็นพลังธรรมชาติที่จะช่วยพวกเรานำพามวลชนผ่านมรสุมและคลื่นลมรุนแรงไปจนถึงฝั่ง จนเราทั้งหลายต่างหลุดพ้นจากรัฐนาวาอันเสียสตินี้ได้ในไม่ช้า
ด้วยความรักพี่น้องร่วมอุดมการณ์และมวลชนทุกคน
จักรภพ เพ็ญแข
9 มิถุนายน พ.ศ.2563

(https://www.facebook.com/560398830659767/photos/a.567695279930122/3326074844092138/)
.....


จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair
June 30, 2020·

กรณีอุ้มฆ่าต้าร์-ก้าวไปอีกขั้น
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ในที่สุด ข่าวการอุ้มหาย-อุ้มฆ่า "ต้าร์" หรือ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์ อันทรงอิทธิพล เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563 หน้าหนึ่ง (front page) ของนิวยอร์กไทมส์แบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ใช้เงินซื้อได้ บรรณาธิการแต่ละประเภทข่าว ต้องผลักดันและต่อสู้เป็นอย่างมากเพื่อให้ข่าวที่ตนเห็นว่าสำคัญระดับโลกได้ขึ้นหน้าหนึ่ง เพราะเมื่อได้ขึ้นแล้ว สื่อมวลชนทั่วโลกจะให้ความสนใจและจับข่าวนั้นๆ ไปเจาะลึกเพิ่มเติมจนเกิดผลที่กว้างไกล มีหลายกรณีที่ข่าวจากหน้าหนึ่งนิวยอร์กไทมส์ ทำให้เกิดการสอบสวนระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการและเอาผิดกับอาชญากรระดับเหนือมนุษย์ของทั่วโลกได้ บางทีก็ส่งผลให้เปลี่ยนผู้นำหรือเปลี่ยนรัฐบาล และสร้างแรงสะเทือนมากมายในหลายด้าน เมื่อข่าวเผด็จการระบอบไทยที่ใช้วิถีทางอันทารุณโหดร้ายได้เริ่มขยายผลไปทั่วโลกเช่นนี้ ก็นับเป็นความก้าวหน้า และถือเป็นการขึ้นบันไดอีกขั้นหนึ่งของภารกิจที่หลายคนเคยคิดว่าจะพิสูจน์และเอาผิดอะไรกับใครไม่ได้เลย
ในเนื้อข่าว ผู้สื่อข่าว ฮันนาห์ บีช รายงานว่า วันเฉลิมฯ คือหนึ่งใน 9 ผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออธรรมของระบอบไทย โดยได้เล่าย้อนหลังถึงนักต่อสู้อีก 8 คน ใน 2 เหตุการณ์ ที่ถูกลักพาตัวจากลาวและเวียดนามตามลำดับ ทำให้ขณะนี้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงความลึกล้ำและร้ายแรงของปัญหาที่เกิดจากน้ำมือของผู้มีอำนาจล้นเหลือในเมืองไทยแล้ว น่าสนใจยิ่งตรงที่เนื้อข่าวได้แจกแจงชัดเจนว่า นักต่อสู้ลี้ภัยเหล่านี้ทุกคน มีปัญหากับระบอบกษัตริย์และกองทัพไทย และเชื่อว่าเรื่องนี้คือแแรงจูงใจสำคัญของการอุ้มหาย-อุ้มฆ่า พฤติกรรมนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างใหม่ของเผด็จการไทยในสายตาของประชาคมโลก
แต่การออกข่าวอย่างเดียว คงไม่อาจช่วยค้นหาความจริงลึกๆ หรือเอาตัวคนเลวมาลงโทษทัณฑ์ตามกระบวนการยุติธรรมสากลได้ ก้าวต่อๆ ไปจึงต้องมีอีก และก้าวแต่ละก้าวจากนี้จะช่วยให้เราขยับเข้าใกล้กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมของเมืองไทยมากขึ้น ถ้าคนสั่งฆ่าไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เองเลย ก็ยากที่จะป้องกันมิให้คนสันดานฆาตกรเยี่ยงนี้ออกไปทำร้ายประขาชนคนอื่นๆ อีกในอนาคต
เราพอรู้ครับว่า การมุ่งเป้าไปที่ผู้บงการรายนี้ มิได้เป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาธิปไตยและมวลชนไทยทั้งมวลเท่านั้น แต่ยังเลยเถิดไปเป็นประโยชน์ทางการเมืองกับอีกกลุ่มอำนาจหนึ่ง ซึ่งกำลังแอบทำลายผู้บงการ โดยหวังจะเข้ามาสวมตำแหน่งแทนในอนาคตด้วย พวกเราทุกคนจึงต้องท่องวลี "เตะหมูเข้าปากหมา" ไว้ให้ขึ้นใจ และช่วยกันระมัดระวังมิให้เกิดขึ้นได้ สถานการณ์แบบนั้นอาจเลวร้ายสำหรับประชาชนอย่างเราๆ ยิ่งกว่าขณะนี้
ผมได้แปลข่าวจาก นิวยอร์กไทมส์ ไว้ด้านล่างนี้แล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครอื่นช่วยแปลหรือไม่ ฝากท่านที่รักทุกท่านช่วยกันอ่านและเผยแพร่ต่อไปให้กว้างขวางด้วยนะครับ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แต่เพื่อให้กรรมทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผมขอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยกรรมครับ.
เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน
จักรภพ เพ็ญแข
29 มิถุนายน พ.ศ. 2563

(https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=3384140454952243&id=560398830659767&ref=embed_post)