วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 24, 2567

หากใครยังไม่ได้อ่าน "จากพวงทองถึงคน 6 ตุลาเพื่อไทย ขอความกล้าหาญ-ไม่เอาตัวรอดหวังอยู่ในอำนาจ" ชวนอ่าน ความยาวแค่ 1 นาทีเท่านั้นเอง



จากพวงทองถึงคน 6 ตุลาเพื่อไทย ขอความกล้าหาญ-ไม่เอาตัวรอดหวังอยู่ในอำนาจ

February 14, 2024
iLAW

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 16.30 น. ที่ลานประชาชน ในกิจกรรม “ส่งรักให้ถึงสภา ถามหาความยุติธรรม เพื่อนิรโทษกรรมประชาชน” พวงทอง ภวัครพันธุ์ กล่าวถึงเรื่องร่างนิรโทษกรรมประชาชนที่จะคืนชีวิตให้แก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2549 โดยมีจำนวนมากที่แม้คดีสิ้นสุดไปแล้ว แต่ไม่สามารถไปทำงานที่ต้องการได้เนื่องจากประวัติอาชญากรรมที่ติดตัว การผ่านร่างกฎหมายนี้จะล้างประวัติให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตปกติ พวงทองกล่าวโดยตรงถึงนักการเมืองในพรรคเพื่อไทยที่ผ่านประสบการณ์สังหารหมู่ธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ให้มีความกล้าหาญมากกว่านี้ ไม่ใช่เอาตัวรอดเพียงหวังเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจ

นิรโทษกรรมประชาชนจะคืนชีวิตปกติให้ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีการเมืองตั้งแต่ปี 49

“เรารู้กันอยู่ว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมันรวบรวมคดีจำนวนมาก คดีหลากหลายตั้งแต่ปี 2548 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มันมีคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตั้งแต่การชุมนุมของคนเสื้อแดง ปี 53 คดีการมีอาวุธ คดีการเผา รวมถึงคดี 116 112 คนจำนวนมากอาจจะพ้นโทษไปแล้ว ถูกจับกุมคุมขังและติดคุกมาจนในที่สุดการคุมขังนั้นยุติลงแล้ว คนเหล่านี้ถามว่า เขาหมดปัญหาไปหรือยัง เขาหลุดพ้นจากการถูกจองจำหรือยัง ก็ไม่ ขออนุญาตยืมคำของคุณไฮยีนที่พูดถึงว่า การคุมขังคนๆหนึ่ง คนที่เป็นที่รักในครอบครัว มันเหมือนกับคุมขังคนอื่นๆไปด้วยในครอบครัว ทำให้ทุกคนรู้สึกถูกจองจำกับปัญหากับความทุกข์นี้ แต่คราวนี้สิ่งที่ต่างกันกรณีนักโทษการเมืองกลุ่มอื่นๆที่อาจจะถูกคุมขังจนสิ้นสุดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเขาจะมีประวัติอาชญากรรมอยู่ในตัวเขาแล้วเขาไม่สามารถที่จะทำงานอย่างคนปกติได้ง่ายๆเลยราชการทำไม่ได้แน่ๆ แล้วบางทีบริษัทห้างร้านจำนวนมากเขาก็จะถามว่าคุณเคยติดคุกมาก่อนหรือเคยโดนลงโทษในคดีอาญากันมาก่อนหรือไม่…คือคดีอาญามันรวมถึงคดีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คดีมาตรา 116 การแบ่งแยก ความมั่นคงของรัฐทั้งหลายแหล่ แค่นี้ถ้าคุณใส่เข้าไปคุณโดนจำนวนมากแม้กระทั่งงานเป็นไรเดอร์ส่งอาหารก็ทำไม่ได้แล้ว เราก็เจอคนแบบนี้มาแล้วเพราะว่าในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขามีความยากลำบากอย่างมากในการที่จะหางานทำ เราเจอคนที่เคยเป็นนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ความหวังเขาคืออยากเข้าไปเป็นอาจารย์แต่เป็นไม่ได้เพราะไปถูกศาลตัดสินว่าละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตอนชุมนุมปี 53 ซึ่งในกรณีนั้นถ้าคุณกลับไปอ่านรายงานของศปช. ศูนย์ข้อมูลที่ทำเกี่ยวกับเรื่องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมปี 53 คนโดนคดีละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเป็นพันคนแล้วการตัดสินบางทีตัดสินเสร็จภายในวันเดียว ศาลไม่ต้องเอาหลักฐานใดทั้งสิ้นตำรวจส่งฟ้องถือว่า จบตัดสินเลย โดนสามเดือนบ้าง หกเดือนบ้าง บางคนอาจจะรอลงอาญาแต่มันก็มีตราบาปติดอยู่ในประวัติเขาด้วย



ฉะนั้นคนเหล่านี้คือ คนที่เราจะต้องเคลียร์ประวัติให้เขาด้วยเพราะเอาจริงๆแล้วถามว่าเขาทำอะไรร้ายแรงไหม เขย่าความมั่นคงของรัฐไหม จริงๆแล้วรัฐใช้กำลังอำนาจทางอาวุธในการปราบปรามอำนาจทางกฎหมาย ในการปราบทุกคนจนอยู่หมัดปี รวมคดีความต่างๆเหล่านั้น ถ้ามั่นคงมากเนี่ยมันคงไม่เกิดรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งในปี 57 แล้วก็แล้วคุณประยุทธ์ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีอีกถึงแปดปี เพราะเหล่านี้คือกลุ่มคนที่ต้องเคลียร์แล้วคนเหล่านี้เอาจริงๆคือกลุ่มคนเสื้อแดงที่รับผลกระทบมา ขณะที่เสื้อเหลืองเขาก็มีคดีความด้วยเหมือนกันคนเหล่านี้ก็ต้องการที่จะเคลียร์ประวัติของตัวเอง จำนวนมากยังมีคดีความอยู่แต่เราก็รู้อยู่ว่าเอาจริงๆในส่วนแกนนำของคนเหล่านี้ ซึ่งก็จะได้ประโยชน์ด้วยจากจากการนิรโทษกรรมอันนี้ คดีความมันไม่ที่สุดสักที โอกาสที่เขาจะได้ติดคุกยาก ส่วนที่ติดคุกไปแล้วคือคือระดับมวลชนของคนเสื้อเหลือง แต่ว่าเขาก็ต้องการที่จะให้ล้างประวัติเหล่านี้ของเขาไปด้วย แม้กระทั่งจะทำธุรกรรมก็ทำไม่ได้แล้วทำธุรกิจคุณจะไปกู้ยืมเงินธนาคารคุณทำไม่ได้ หรือแม้กระทั่งคุณจะอพยพไปอยู่ต่างประเทศคุณใส่เข้าไปคุณมีประวัติอาชญากรรมคุณก็ทำไม่ได้”

112 เป็นคดีการเมืองที่รัฐและผู้มีอำนาจไม่ยอมถอยให้

“คราวนี้ปัญหาคือทำไมพ.ร.บนิรโทษกรรมฉบับประชาชนไม่ผ่านสักทีเพราะมันมีเรื่องมาตรา 112 อยู่มาตรา 112 ในทัศนะของพวกเรา เราเชื่อว่ามันไม่ใช่อาชญากรรมที่ร้ายแรงอะไรเพราะมันไม่ทำให้เกิดความสูญเสียหรือว่าไปทำร้ายร่างกายใครเลย แต่ในทัศนะของรัฐ ของผู้มีอำนาจ ของกลุ่มฝ่ายขวามันกลับเป็นคดีที่ร้ายแรงที่สุดในสำหรับพวกเขา เราบอกว่าการกระทำทางความคิดทางการพูด ทางการเขียน ทางการแสดงออกมันจะเป็นอาชญากรรมได้ยังไงแต่สำหรับพวกเขามันเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่ประนีประนอมไม่ได้เพราะอะไร เพราะความคิดความแตกต่างของความคิดที่อีกฝ่ายเสนอออกไปมันเป็นทำลายฐานความชอบธรรมของตัวระบอบของพวกเขามันไปสั่นคลอนความมั่นคงของพวกเขาในระยะยาว นี่คือสิ่งที่พวกเขากลัวแล้วเขายอมรับไม่ได้ พวกเขารู้ว่า 112 มันไม่ฆ่าใคร เขารู้แน่ๆเขารู้ว่าเป็นอาชญากรรมทางความคิด เขารู้ว่า มันเป็นคดีทางการเมืองแน่นอนแต่เขาไม่สามารถยอมรับได้เพราะถ้าเขายอมรับเท่ากับว่าเขาต้องยอมให้ฝ่ายประชาธิปไตยมีพื้นที่ในการแสดงออก แต่ยิ่งคุณแสดงความคิดเท่าไหร่มันยิ่งไปทำลายความชอบธรรมของพวกเขามากยิ่งขึ้นและนี่ต่างหากคืออันตรายทางความคิดแล้วรัฐไทยมันยอมรับไม่ได้

ฉะนั้นสิ่งที่เขาทำคืออะไรเขาใช้วิธีการปราบปรามจับกุมคุมขังไล่ล่าแม้กระทั่งคนที่หนีออกนอกประเทศไปแล้ว แล้วก็ปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับให้มีการนิรโทษกรรมถ้าอยากจะเป็นอิสระหรอ ขอโทษสิ ยอมรับผิดสิว่า สิ่งที่คุณทำนั้นมันผิด ซึ่งอันนี้ไม่ใช่การประนีประนอม นี่คือการบอกให้คุณแพ้ให้คุณยอมรับว่าผิด”



จี้คน 6 ตุลาเพื่อไทยย้อนคิดถึงอดีตว่า เคยได้รับโอกาสนิรโทษกรรมเช่นกัน

“ดิฉันอยากเรียกร้องให้ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตยและอยู่ในอำนาจในขณะนี้เป็นรัฐบาลอยู่ขณะนี้กลับมามีสติ มีปัญญา มีความกล้าหาญมากกว่านี้ ไม่ใช่เอาตัวรอดเพียงหวังเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจ สองสามวันนี้เราเห็นผู้คนในโซเชียลมีเดียพูดถึง 6 ตุลากันมาก มีความรู้สึกว่า มีคนพูดว่าความรู้สึกเหมือนกำลังแบบจะเข้าสู่ 6 ตุลา คือดิฉันไม่คิดว่า มันจะเกิด 6 ตุลา ในเวลาอันใกล้นี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นคือบรรยากาศของความกลัวมันเกิดขึ้น เวลาที่คนพูดถึง 6 ตุลา มันคือความกลัวว่า เฮ้ย เรากำลังเดินหน้าไปสู่ภาวะที่มันอึมครึม มืด และก็การใช้ความรุนแรงมากขึ้นทุกทีหรือไม่ คิดว่า ความกลัวนี้มันเกิดจากอะไร ด้านหนึ่งเกิดจากกรณีทะลุวังเรื่องขบวนเสด็จ ด้านหนึ่งเกิดจากการพูดของบรรดาแกนนำหรือนางแบกของอีกฝ่ายหนึ่งที่พยายามที่จะกล่าวหาปรักปรำขบวนการประชาธิปไตย ขบวนการเยาวชนรวมถึงพรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามเขาด้วย

เมื่อวานนี้มีนางแบกออกมาเขียนอยู่ในทวิตเตอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดิฉันโควทคือเขาพูดว่า ขณะนี้เราอยู่ในยุครัฐบาลประชาธิปไตยเรามีประชาธิปไตยแล้ว ฉะนั้นก็ไม่เกิด 6 ตุลาหรอกรัฐบาลประชาธิปไตยไม่ปราบปรามประชาชน ‘มีแต่นักกิจกรรมสายสุดโต่งไม่กี่คนกับพรรคการเมืองที่เเพ้ไม่เป็น พยายามชี้นำมี Witchful Thinking อยากให้มี 6 ตุลา เพราะรับไม่ได้ที่ตัวเองเป็นฝ่ายค้าน’ คำพูดในลักษณะนี้คืออะไร มันคือการปรักปรำว่า ขบวนการเยาวชนฝ่ายที่เรียกร้องเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรม112 เป็นพวกสุดโต่งใช่ไหม เป็นการบอกว่ามีคนอยากให้เกิด 6 ตุลา พูดง่ายๆก็คือก็คือพรรคก้าวไกลใช่ไหมที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของเยาวชนตลอดมาแล้วก็พยายาม แล้วก็หวังว่า แล้วก็พูดนัยยะ ในทำนองว่าพรรคก้าวไกลอยากให้เกิด 6 ตุลาอยากให้มีการปราบปรามประชาชนเพื่อสร้างพื้นที่ให้ทางการเมืองให้กับตัวเองใช่ไหม คุณกำลังหมายถึงอย่างนี้ใช่ไหม นี่คือการปรักปรำใช่ไหมคะ



นอกจากนี้เมื่อวานคุณภูมิธรรม เวชยชัยก็พูดอะไรทำนองนี้เป็นนัยยะว่ามีคนอยู่เบื้องหลังขบวนการเยาวชน อยู่เบื้องหลังทะลุวัง การพูดแบบนี้ดำเนินมาสักพักหนึ่งแล้ว ดิฉันจะบอกอยากจะบอกว่า เราคงอาจจะไม่เกิด 6 ตุลาในระยะใกล้แต่การพูดแบบนี้มันคือการปูทางไปสู่การปราบปรามจับกุมประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ พวกคุณนี่แหละที่พยายามที่จะสร้างนิยายสมคบคิดขึ้นมาเพื่อมาปราบปรามฝ่ายที่เรียกสิทธิเสรีภาพ พวกคุณกำลังปูทางให้กับการจับกุมคุมขังคนอีก การพูดเช่นนี้มันสนับสนุนให้เกิดการยุบพรรคก้าวไกลในระยะอันใกล้ใช่หรือไม่ การพูดเช่นนี้เป็นการซ่อนความชอบธรรมให้กับพรรคเพื่อไทยที่จะไม่ต้องสนับสนุนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่มีเรื่องมาตรา 112 ด้วยใช่หรือไม่ ดิฉันอยากจะบอกว่าการพูดปรักปรำในขณะนี้มันไม่ต่างกับสิ่งที่ฝ่ายขวากระทำกับนักศึกษาประชาชนก่อน 6 ตุลาเลย ในกรณี 6 ตุลา บุคคลหนึ่งที่ถูกโจมตีใส่ร้ายว่าอยู่เบื้องหลังขบวนการนักศึกษาก็คืออาจารย์ป๋วย อธิการบดีมหาลัยธรรมศาสตร์ในขณะนั้นท่านถูกโจมตีจนท่านอยู่ในภาวะอันตรายแล้วตัดสินใจหนีออกนอกประเทศอย่างเร่งด่วนในวันที่ 6 ตุลาคม แต่ท่านก็ยังมีอันธพาลการเมืองมุ่งที่จะไปทำร้ายท่านที่สนามบินดอนเมืองอีก คุณกำลังทำแบบเดียวกันหรือเปล่ากับฝ่ายขวาจัดในปี 2519

ดิฉันอยากเตือนให้คนเดือนตุลาในพรรคเพื่อไทยและมีอำนาจในรัฐบาลในขณะนี้เอ่ยชื่อก็ได้ คุณภูมิธรรม เวชยชัย หมอมิ้ง นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช หมอเลี้ยบ นายแพทย์สุรพงษ์ อยากเตือนว่าอย่าลืมประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ของพวกท่านเองในปี 2519 พวกท่านคือ แกนนำที่สำคัญในขบวนการนักศึกษาเมื่อเกิด 6 ตุลาขึ้นพวกท่านหนีเข้าป่าจับอาวุธขึ้นสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพราะพวกท่านถูกกล่าวหาจากฝ่ายขวาจัดว่าเป็นพวกสุดโต่ง ล้มเจ้า ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ เป็นคอมมิวนิสต์ พวกท่านยอมรับข้อกล่าวหานี้ไหมคะ วันนี้ท่านยอมรับไหมว่าพวกท่านครั้งหนึ่งเคยเป็นพวกล้มเจ้า ดิฉันอยากจะบอกว่าถ้าไม่มีการประนีประนอมในปี 2521 ที่รัฐบาลตัดสินใจนิรโทษกรรมผู้นำนักศึกษา 18 คน คืนอิสรภาพให้กับพวกเขาไม่มีการตัดสินใจ ไม่มีนโยบายที่อนุญาตให้คนที่เข้าป่าทั้งนักศึกษา ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีก ลบประวัติของพวกคุณว่า ครั้งหนึ่งเป็นเคยเป็นพวกคอมมิวนิสต์เป็นพวกล้มเจ้า ถ้าไม่มีการประนีประนอมในต้นทศวรรษ 2520 พวกคุณก็จะไม่มีอนาคตทางการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ คุณก็อาจจะเสียชีวิตอยู่ในป่าก็ได้ ยังคงต้องจับอาวุธปืนเพื่อต่อสู้กับรัฐต่อไป ถ้าไม่มีการประนีประนอมทางการเมือง คิดว่า ประเทศไทยในทศวรรษ 2520 และ 2530 ก็จะสูญเสียบุคลากรที่มีค่าต่อสังคมจำนวนมาก

ทำไมคุณไม่ใช้สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเมื่อปี 2521 เป็นต้นมาเป็นแบบอย่างที่คุณจะคืนอิสรภาพเสรีภาพให้กับคนรุ่นหลังบ้าง คุณจำไม่ได้เหรอคะเมื่อก่อนปี 2019 พวกคุณก็เป็นเยาวชนที่มีความฝันมีความหวังที่อยากจะทำให้สังคมไทยมันดีขึ้น เยาวชนที่ติดคุกอยู่ในขณะนี้มีคดีความอยู่ขณะนี้เขาก็เป็นแบบเดียวกับพวกคุณ ทำไมเราจะประนีประนอมไม่ได้ ทำไมเราจะคืนอิสรภาพเขาไม่ได้ พวกคุณเคยได้ประโยชน์มาแล้วจากการประนีประนอมกับการเมือง ถ้าคุณปฏิเสธที่จะมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมแบบนี้ดิฉันสงสัยจริงๆนะคะว่าเวลาพวกคุณจัดงานรำลึก 6 ตุลา คุณจัดด้วยจิตวิญญาณแบบไหน คุณจะคิดถึงเพื่อนที่ตายไปด้วยเหตุผลยังไง เขาสมควรที่ถูกฆ่าแล้วเพราะเป็นพวกล้มเจ้าเป็นพวกสุดโต่งหรือเปล่า หรือนั่นคือความอยุติธรรม ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นปี 2519 คือความยุติธรรมสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ก็คือความยุติธรรมด้วยเหมือนกัน”

https://www.ilaw.or.th/articles/19049