กระบวนการ “Lawfare” หรือ “นิติสงคราม” : ปิยบุตร แสงกนกกุล (คลิปสั้น)
อนาคตใหม่ - Future Forward
Nov 17, 2019 #Lawfare
[ อธิบายความหมาย ที่มาที่ไป ข้อสังเกต และผลกระทบของกระบวนการ “Lawfare” หรือ “นิติสงคราม” ]
"Lawfare" เป็นการนำคำว่า "Law" มาผสมกับคำว่า "-fare" และล้อไปกับคำว่า "Warfare" ซึ่งหมายถึง "การสงคราม" ดังนั้น "Lawfare" จึงแปลได้ว่า "นิติสงคราม" หรือ "สงครามทางกฎหมาย"
Lawfare คือ การนำกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมือง มีเป้าประสงค์ในทางการเมือง เพื่อปราบปรามศัตรูทางการเมืองหรือฝ่ายตรงข้าม
Warfare ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ประหัตประหารห้ำหั่นกันเพื่อเอาชนะสงคราม แต่ Lawfare ใช้ "กฎหมาย" เป็นอาวุธ
Lawfare เป็นแนวโน้มใหม่ของโลก หลายประเทศนำมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในละตินอเมริกา
Lawfare ทำงานโดยอาศัยการผสมผสานกันระหว่าง "ศาล" และ "สื่อ" ได้แก่
1. Judicialization of Politics คือกระบวนการทำให้ประเด็นทางการเมืองไปเป็นคดีและอยู่ในมือศาล
2. Mediatization of Judicial Political Case คือการเอาคดีการเมืองที่อยู่ในมือศาลให้ไปอยู่ในมือสื่อมวลชน
สรุปให้เข้าใจสั้นๆ ก็คือ “เอาเรื่องการเมืองไปอยู่ในมือศาล และเอาเรื่องในศาลไปอยู่ในมือสื่อ” ดูเหมือนก็ไม่ได้มีอะไรแย่?
แต่แท้จริงแล้วประเด็นทางการเมืองนั้นสามารถแก้ไข คลี่คลาย ขจัดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ได้ ด้วยกลไกอื่นที่ไม่จำเป็นต้องไปจบที่ศาลก็ได้
แต่เมื่อประเด็นทางการเมืองถูกทำให้เป็นคดีในศาลแล้ว แม้ศาลยังไม่ได้ตัดสินวินิจฉัย แต่สื่อมวลชนก็รับภารกิจ Lawfare มา แล้วหยิบเอาคดีในศาลไปรายงานต่อสาธารธณชน แล้วปั่นว่าเรื่องนั้นคดีนี้ผิดแน่ ไม่รอดแน่ ทำให้สังคมปักใจเชื่อไปแล้วว่าไม่รอดแน่ ผิดกฎหมายแน่ๆ ทั้งที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเลย
ผลที่ได้คือ สามารถกำจัดศัตรูทางการเมืองได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธ โดยไม่ต้องทำรัฐประหาร และโดยไม่ต้องใช้การเลือกตั้ง
แต่พิษภัยของกระบวนการ Lawfare นี้ก็คือ การทำลายระบบกฎหมาย ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ทำลายประชาธิปไตย และไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งแบ่งขั้วทางการเมืองได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ยิ่งเราใช้ Lawfare มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองร้าวลึกมากขึ้น
Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
June 6
.
[ 2 กลไกลของ “นิติสงคราม” ]
ท่ามกลางความคิดเห็นอันหลากหลายของผู้คนในส้งคม การตัดสินใจร่วมกันว่าใครควรเป็นผู้ปกครองประเทศ ใครควรเป็นรัฐบาล จำเป็นต้องใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือ
แม้ประเทศไทยของเราจะผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว แต่ความไม่แน่นอนชัดเจนก็ยังคงดำรงอยู่
นอกจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญอัปลักษณ์ที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนชัดเจนแล้ว ปัจจัยอีกประการหนึ่ง ก็คือ “นิติสงคราม” ที่ยังคงเดินเครื่องอย่างไม่หยุดยั้ง
ปลายปี 2562 ผมได้นำเสนอเรื่อง Lawfare และคิดคำไทยใช้แทนที่ว่า “นิติสงคราม” และเห็นว่า สถานการณ์การเมืองไทยตั้งแต่ปลายปี 2548 ทอดยาวมาจนถึงปัจจุบัน ได้แปรเปลี่ยน “ตุลาการภิวัตน์” ให้เป็น “นิติสงคราม” เต็มรูปแบบแล้ว
“นิติสงคราม” หรือ “Lawfare” เป็นการเล่นกับคำว่า “Warfare” ที่แปลว่าการสงคราม แทนที่จะใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ก็เปลี่ยนมาใช้ “กฎหมาย” เข้าทำสงครามแทน
ดังนั้น “นิติสงคราม” จึงหมายถึง การกำจัดศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามที่ต่อต้านรัฐหรือรัฐบาลโดยใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ
นิติสงครามดำเนินการผ่านสองกลไกสำคัญ
กลไกแรก กระบวนการทำให้ประเด็นทางการเมืองเป็นคดีและอยู่ในมือศาล หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Judicialization of Politics
อุดมการณ์แบบเสรีประชาธิปไตย เรียกร้องให้ศาลตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้ออกแบบรัฐธรรมนูญให้มีสารพัดศาล สารพัดองค์กรอิสระ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมือง กำหนดกรอบล้อมคอกนักการเมืองเอาไว้ และมอบอำนาจเด็ดขาดให้กับศาลและองค์กรอิสระทำหน้าที่ประหารนักการเมือง
ทั้งหมดนี้ มาในนามของคำใหญ่ๆ โตๆ ประเภท “การตรวจสอบอำนาจรัฐ”, “ความโปร่งใสตรวจสอบได้”, “ธรรมาภิบาล” “ปฏิรูปการเมือง”, “หลักนิติธรรม”
พร้อมกันนั้น ก็สถาปนาสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับศาลและองร์กรอิสระ ท่องจำกันต่อๆมาว่า องค์กรเหล่านี้ “เป็นกลาง อิสระ” หากองค์กรเหล่านี้ตัดสินแล้ว ต้องเป็นที่ยุติ ต้องเคารพ
รัฐธรรมนูญแปลงสภาพเรื่อง “การเมือง” ให้กลายเป็น “ข้อพิพาทคดีความ” ให้หมด
แล้วสร้างศาลและองค์กรอิสระที่ถูกทำให้เชื่อว่า “ศักดิ์สิทธิ์ เป็นกลาง อิสระ” ให้พวกเขามีอำนาจเด็ดขาดในการชี้ขาด
บวกกับมี “นักร้อง” ทำหน้าที่ร้อง เขี่ยลูกเปิดเกม แทงสนุ้กลูกขาวระเบิดกลุ่มแดง เพื่อให้ศาลและองค์กรอิสระมาจัดการกวาดหมดโต๊ะ
ทั้งหมด คือ กระบวนการทำให้เรื่อง “การเมือง” ไปอยู่ในมือศาล
กลไกที่สอง กระบวนการนำเรื่องการเมืองซึ่งอยู่ในมือศาลแล้ว เอาไปไว้ในมือสื่อ หรือ Mediatization of Judicial/Political Cases
หากมีเพียงนักร้อง มีเพียงศาลและองค์กรอิสระ ทำหน้าที่ร่วมกันประหารนักการเมืองกันไปแบบเงียบๆ โดยสังคมไม่รู้เห็น แต่เพียงอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ และอาจเกิดแรงต่อต้านได้ ดังนั้น “นิติสงคราม” จำเป็นต้องสร้างมติของสาธารณชน หรือ Public Opinion เข้าสนับสนุนด้วย นี่จึงเป็นที่มาของการนำเรื่องการเมืองที่เป็นคดีในศาล เอามาปลุกปั่นชี้นำผ่านสื่อสาธารณะ
“นิติสงคราม” ต้องใช้กระบวนการทางสื่อและความเห็นของสาธารณชนเข้าสนับสนุน ด้วยการโหมประโคมโฆษณาชวนเชื่อจนทำให้สังคมและคนจำนวนมากเชื่อไปก่อนแล้วว่า นักการเมืองเหล่านี้มีความผิดจริง
เมื่อ “นักร้อง” เริ่มต้นร้อง ก็จะมีสื่อทำหน้าที่ปั่นข่าวทุกวัน ชี้นำสังคม ใช้คอลัมน์หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เนต เผยแพร่ทุกวันว่าผิดๆๆ เชิญนักกฎหมาย ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกันชี้นำในรายการสื่อว่า ผิดๆๆๆ จนประชาชนเชื่อไปแล้วว่าผิด หรือแม้ประชาชนจะคิดว่าไม่ผิด แต่ประชาชนก็จะยอมรับว่า ก็มันเป็นแบบนี้ พวกเขาถืออำนาจกลไกรัฐอยู่จะเล่นงานอย่างไรก็ได้
นอกจากนี้ “นิติสงคราม” ยังใช้กลไกสื่อ ชี้นำสังคม ทำให้เป็นเรื่องเทคนิควิธี รายละเอียดหยุมหยิม กลบหลักการคุณค่าพื้นฐานไปเสียหมด
เช่น แทนที่คนจะคิดว่ากรณีถือหุ้นถูกนำมาใช้อย่างผิดเพี้ยน ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ เป็นกฎหมายล้าสมัยที่ไม่สามารถป้องกันนักการเมืองชี้นำผ่านการเป็นเจ้าของสื่อได้จริง แต่คนกลับพร้อมใจกันไปคิดว่า นักการเมืองพลาดเอง โง่เอง ไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้เทคนิควิธีทางกฎหมาย รู้อยู่แล้วว่าเขาจ้องเล่นงาน ทำไมไม่ระวัง เห็นใจอยู่เหมือนกันนะ แต่ทำไมไม่ระวังล่ะ ทำไมไม่สู้คดีแบบนี้ล่ะ เสียดาย ไม่น่าเลย พลาดง่ายๆ ทางกฎหมาย ถ้าเก่งกฎหมายสักหน่อย ก็รอดแล้ว เป็นต้น
…
ณ เวลานี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล กำลังเผชิญหน้ากับ “นิติสงคราม” อีกครั้ง
เมื่อ “นิติสงคราม” ดำเนินผ่านสองกลไก อันได้แก่ “ทำประเด็นการเมืองให้อยู่ในมือศาล” และ “ทำประเด็นการเมืองที่อยู่ในมือศาลนั้นให้อยู่ในมือสื่อ” การต่อสู้กับนิติสงคราม จึงต้องหยุดสองกลไกนี้
เมื่อ “นิติสงคราม” มีฐานจาก “การเมือง” แล้วเอา “กฎหมาย” บังหน้า
เมื่อ “นิติสงคราม” เป็นการต่อสู้ฟาดฟันกันทางการเมืองโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ
มันจึงมีสองมิติ “การเมือง+กฎหมาย” ผสมผสานกัน
การต่อสู้กับนิติสงคราม จึงต้องใช้ทั้งการเมืองและกฎหมาย
ร่วมกันหยุด “นิติสงคราม” ไม่ให้หนังม้วนเก่าที่ฉายซ้ำหลายรอบวนเวียนตั้งแต่ปี 2548 กลับมาหลอกหลอนสังคมไทยอีกต่อไป