วันศุกร์, มิถุนายน 16, 2566

'14 ล้านเสียง' สะท้อนคนต้องการปลดล็อกโครงสร้างความสัมพันธ์แบบเดิม สร้างความกังวลให้ชนชั้นนำ


ความเปลี่ยนแปลงในชนบทสะท้อนออกมาเป็นชัยชนะของก้าวไกล เมื่อความรู้สึกเท่าเทียม ความเป็นพลเมืองเรียกร้องการจัดความสัมพันธ์กับรัฐแบบใหม่ ความสัมพันธ์ลำดับชั้นกำลังง่อนแง่น ความจงรักภักดีที่เริ่มเปลี่ยนหน้าตา และนโยบายของก้าวไกลคือตัวปลดล็อก

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์: '14 ล้านเสียง' สะท้อนคนต้องการปลดล็อกโครงสร้างความสัมพันธ์แบบเดิม

2023-06-15
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล : สัมภาษณ์/เรียบเรียง
กิตติยา อรอินทร์ : ภาพปก
ที่มา ประชาไท

ความเปลี่ยนแปลงในชนบทสะท้อนออกมาเป็นชัยชนะของก้าวไกล เมื่อความรู้สึกเท่าเทียม ความเป็นพลเมืองผู้กระตือรือร้นเรียกร้องการจัดความสัมพันธ์กับรัฐแบบใหม่ ความสัมพันธ์ลำดับชั้นทางอำนาจกำลังง่อนแง่น ความจงรักภักดีที่เริ่มเปลี่ยนหน้าตา และนโยบายของก้าวไกลคือตัวปลดล็อกเพดานทางโครงสร้างที่กดทับอยู่
  • ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจในชนบทเปลี่ยนชาวนาเป็นผู้ประกอบการ เกิดสำนึกความเท่าเทียม และความเป็นพลเมืองผู้กระตือรือร้น ที่ต้องการขยับโครงสร้างที่กดทับเพื่อพัฒนาชีวิตตนเอง และนโยบายของพรรก้าวไกลตอบโจทย์นี้
  • พรรคเพื่อไทยไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในชนบทและยังคิดนโยบายในระดับการให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น
  • กระบวนการจัดความสัมพันธ์ลำดับชั้นทางอำนาจที่ฝังแน่นในสังคมไทยไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกเท่าเทียมกำลังหักล้าง Hierarchization of Power
  • Mobility ทางสังคม เศรษฐกิจ และทางกายภาพ ทำให้ผู้คนหลุดพ้นออกจากกรอบหรือวงอำนาจของระบอบอุปถัมภ์แบบเดิม
  • พรรคก้าวไกลต้องคิดและสร้างอารมณ์ความรู้สึกชุดใหม่หรือระบอบเกียรติยศที่ทำให้ความเท่าเทียมเป็นฐานของอารมณ์ความรู้สึก
  • ระบอบเกียรติยศของสังคมไทยในช่วง 30 ปีหลังที่สำคัญที่สุดคือความจงรักภักดี ซึ่งสัมพันธ์กับลำดับชั้นทางอำนาจ การแก้ไขมาตรา 112 ไม่ให้ใครๆ ก็ฟ้องได้จะทำให้ความจงรักภักดีถูกเคลื่อนมาเป็นการจงรักภักดีอย่างจริงใจมากขึ้น ไม่สัมพันธ์กับลำดับชั้นทางอำนาจและจะไม่มีการพยายามจะผนวกตัวเองเข้ากับความจงรักภักดีเพื่อเลื่อนสถานะ
  • ชนชั้นนำและกลุ่มอนุรักษนิยมกังวลกับการขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ยังหาช่องทางสกัดที่สมเหตุสมผลไม่ได้
ชัยชนะของก้าวไกลค่อนข้างเหนือความคาดหมายและต้องการคำอธิบาย หนึ่งในคำอธิบายหลากหลายอยู่ในหนังสือ ‘ลืมตาอ้าปาก จาก "ชาวนา" สู่ "ผู้ประกอบการ"’ โดย อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ที่วิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงในสังคมชนบท เมื่อชาวนาเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ประกอบการพร้อมด้วยสำนึกแห่งความเท่าเทียมก่อตัวเป็นพลเมืองผู้กระตือรือร้น ทำให้ความสัมพันธ์ในรูปแบบลำดับชั้นทางอำนาจง่อนแง่นโงนเงน


อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ศาสตราจารย์และอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (แฟ้มภาพ ประชาไท)

พลเมืองผู้กระตือรือร้นเรียนรู้แล้วว่ารัฐมีส่วนสำคัญให้ชีวิตพวกเขาก้าวหน้าและต้องการจัดความสัมพันธ์ใหม่กับรัฐ ก้าวไกลหยิบยื่นคำตอบให้ผ่านนโยบายต่างๆ ที่จะขยับเพดานทางโครงสร้างที่กดพวกเขาเอาไว้ อรรถจักรกล่าวว่านี่เป็นโอกาสที่ก้าวไกลจะสร้าง ‘ระบอบเกียรติยศ’ ใหม่ที่วางอยู่บนความเท่าเทียม ขณะที่ระบอบเกียรติยศแบบเก่าที่อิงกับความจงรักภักดีก็กำลังเปลี่ยนแปลง

ขณะเดียวกัน ชนชั้นนำและกลุ่มอนุรักษนิยมกำลังวิตกกังวลและไม่ต้องการมีนายกรัฐมนตรีชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพียงแต่ยังหาช่องที่สมเหตุสมผลไม่ได้และยังต้องรับมือกับ 24 ล้านเสียงที่เลือกก้าวไกลและเพื่อไทย

สำนึกใหม่และโครงสร้างอารมณ์เกี่ยวกับความเท่าเทียมเกิดขึ้นได้อย่างไร

ถ้าเรามองจากพื้นที่ชนบทหรือบ้านนอก เดิมเขาอยู่ในความสำนึกถึงลำดับชั้นของอำนาจมานาน ในลำดับชั้นนี้ก็แสดงออกเยอะแยะด้วยระบบอุปถัมภ์และอื่นๆ แต่ความเปลี่ยนแปลงในช่วง 20 กว่าปีมันเริ่มมีการเลื่อนทางชนชั้นมากขึ้นๆ และกระบวนการเลื่อนทางชนชั้นมันประกอบไปด้วยการเลื่อนทางระบบเศรษฐกิจ อย่างเห็นได้ชัดที่สุดก็คือระบบความเปลี่ยนแปลงในการผลิตของภาคเกษตร อย่างที่ผมพูดไว้ใน ‘ลืมตาอ้าปาก’ ว่าชาวไร่ชาวนาแบบเดิมไม่มีเหลืออีกแล้ว แต่เขาเริ่มผันตัวเองขาข้างหนึ่งทำการเกษตร ขาอีกข้างทำงานอีกอย่างหนึ่ง หรือแม้กระทั่งทำการเกษตรเองก็เป็นผู้ประกอบการตั้งแต่ต้น

กระบวนการทั้งหมดเริ่มเปลี่ยนเขามาสู่สำนึกที่ว่าชีวิตของเขาเขากำหนดชีวิตของเขาเอง ด้วยความสามารถของเขา ด้วยสติปัญญาของเขา ด้วยเงินของลูกเขาต่างๆ ตรงนี้เองจึงทำให้เขาเริ่มรู้สึกสำนึกว่าตัวเองมีศักยภาพ มีความสามารถ และเริ่มมองว่าเขาก็เป็นคนเท่ากัน

ความเปลี่ยนแปลงนี้มันเกิดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นอกจากในระบบการผลิตแล้ว สิ่งสำคัญคือถ้าหากเราดูลูกหลานของชาวบ้านเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดเขามีการศึกษาแล้ว หลังจากราชภัฏขยายตัวรับเด็กมากขึ้น เราจะพบว่าเด็กจำนวนมากเรียนระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกีฬาซึ่งมีคนสมัครเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ มหาวิทยาลัยกีฬาเป็นแหล่งรองรับคนที่มาจากรอบนอก ทั้งหมดเริ่มทำให้คนรู้สึกว่าเขากำหนดชีวิตตัวเองได้แล้ว ไม่ได้ถูกกำหนดจากบุญกรรมหรืออื่นๆ อีกต่อไป บนสำนึกที่ประกอบกันแบบนี้ มันจึงเป็นสำนึกของ...ถ้าเป็นการผลิต ผมใช้คำว่าผู้ประกอบการ ถ้าหากพูดเรื่องการเมือง เขาเริ่มมีสำนึกว่าเขาเท่าเทียมกับคนอื่น

สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับสำนึกอันนี้ก็คือในกระบวนการการผลิตที่เปลี่ยนแปลง ชีวิตเขาที่เข้ามหาวิทยาลัย ลูกหลานเข้ามหาวิทยาลัยมากขึ้น มันเริ่มทำให้เขารู้สึกว่าอนาคตของเขาขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์แบบใหม่ที่เขาต้องจัดความสัมพันธ์แบบใหม่กับรัฐ กับ อบต. และอื่นๆ เขาเริ่มพบว่ารัฐเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ชีวิตเขาพัฒนาขึ้น ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องไปเกาะ แต่หมายถึงว่าถ้าโครงสร้างของรัฐมาถึงเขา โอกาสที่ดีก็มากขึ้น

ตัวอย่างหนึ่งชัดๆ ก็คือกรณีทักษิณ 30 บาทรักษาทุกโรคมันทำให้เขารู้สึกว่าเมื่อรัฐมาถึงเขา เขาก็ปลอดภัย ครั้งหนึ่งคนรุ่นผมหรือรุ่นก่อนผม คนเหนือหรือคนอีสานจะไปโรงพยาบาลยากมาก ทางเหนือบอกว่าขายนาเอาพ่อไปโรงยา ทันทีที่เกิด 30 บาท รัฐมีส่วนเอื้อเขา ดังนั้น ความรู้สึกเท่าเทียมจากระบบการผลิตนี้เมื่อเข้าไปสัมพันธ์กับชีวิตเขาที่สัมพันธ์กับรัฐ รัฐเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเขาก้าวหน้าขึ้น ทั้งหมดมันเปลี่ยนตัวเขาเป็นสำนึกเท่าเทียมแบบที่เป็นพลเมืองขึ้นมา ผมใช้คำในหลายที่ว่าเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้น (active citizens) เขาเริ่มรู้สึกว่าหนึ่งเท่าเทียม เริ่มเป็นพลเมือง แต่ขณะเดียวกันไม่ใช่เป็นแค่พลเมืองที่ passive ที่ไม่กระตือรือร้น แต่เขาเปลี่ยนเพราะชีวิตเขาดีกับโอกาสหรือที่เขาได้รับจากรัฐมากขึ้น

การเคลื่อนไหวของเสื้อแดง วิทยุชุมชนทางเหนือ หรือหลายแห่งที่ผมอ่านหรือฟัง คนเสื้อแดงจำนวนมากจะนึกถึงโอกาสที่ทำให้ชีวิตเขามีหลังพิงก็คือ 30 บาทรักษาทุกโรค มันทำให้เขารู้สึกว่าเงินครั้งหนึ่งที่ต้องเก็บไว้เพื่อเอาไปดูแลปู่ย่าตายายถ้าป่วย ตอนนี้เขาสามารถนำมาสู่การผลิตได้ ดังนั้น กระบวนการตรงนี้จึงเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดสำนึกของพลเมืองและเป็นสำนึกของพลเมืองที่กระตือรือร้นเนื่องจากเขาสัมพันธ์กับรัฐอย่างที่ผมพูด ไม่ใช่แค่ความเท่าเทียมด้วยความรู้สึกลอยๆ แต่มันสัมพันธ์กันโดยรวม


ภาพจากทีมสื่อสารพรรคก้าวไกล

ก้าวไกลซึ่งมีนโยบายที่ถอนรากถอนโคนมากกว่าเพื่อไทย พูดได้หรือไม่ว่านโยบายของก้าวไกลตอบโจทย์ความเป็นผู้ประกอบการของคนชนบทมากกว่าเพื่อไทย

ผมคิดว่าสำนึกของการเป็นผู้ประกอบการมันค่อยๆ ขยับขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันเริ่มเขยิบจากสำนึกผู้ประกอบการมาเป็นสำนึกของพลเมืองผู้กระตือรือร้น การพัฒนาตรงนี้ การเปลี่ยนจากผู้ประกอบการธรรมดาที่สัมพันธ์กับ อบต. อย่างเท่าเทียมมากขึ้น มันเริ่มเปลี่ยนตัวเองมาสู่ว่าถ้าเราจะเคลื่อนย้ายทางสังคมมากกว่านี้ เราก็ต้องสัมพันธ์กับรัฐหรือรัฐต้องให้เรามากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ขึ้นมาสู่พลเมืองผู้กระตือรือร้น

จุดนี้เองมันจึงทำให้เปลี่ยนคนจำนวนมากในสังคมไทยจากการมองเห็นโอกาสของชีวิต จากนโยบายของเพื่อไทย นโยบายทางเศรษฐกิจของเพื่อไทยเคยให้โอกาสทางชีวิตเขาให้กลายเป็นผู้ประกอบการ แต่ขณะเดียวกันเขาเริ่มพบแล้วว่าตัวเขา ตัว voters เปลี่ยนแปลงมาเขามองเห็นแล้วว่าเขาขยับขึ้นลำบากถ้าหากโครงสร้างไม่เปิดให้เขา อันนี้เองคือพัฒนาการหรือความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในกลุ่มคนระดับกลาง กลางล่าง และล่างอย่างมากมาย เขาขยับพ้นจากกรอบการคิดเรื่องเศรษฐกิจของเพื่อไทย

การคิดเรื่องการขยับพ้นตรงนี้จึงทำให้เขามองหาหรือรู้สึกสอดคล้องไปกับสิ่งที่ก้าวไกลเสนอ เพราะก้าวไกลเสนอสิ่งที่เราใช้คำว่า การเปลี่ยนโครงสร้างความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกเกณฑ์ทหาร สุราก้าวหน้า หรือความเท่าเทียมทางเพศ หรืออื่นๆ เราจะพบว่าระยะหลังก่อนเลือกตั้ง คุณพิธาและคนของก้าวไกลเองจะพูดเรื่องความเท่าเทียมในหลายที่ เขาเริ่มเห็นแล้วว่าขยับตัวเองพ้นจากเรื่องเศรษฐกิจ เรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค และผมเชื่อว่าพี่น้องทั้งหมดรู้แล้วว่า 30 รักษาทุกโรคหรือสวัสดิการสาธารณสุขแบบนี้ ใครขึ้นมาก็เลิกไม่ได้ ใครมาก็ต้องทำ

เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าอะไรที่เป็นตัวล็อกเขาไว้ และเขาพบว่าก้าวไกลคือคนที่จะปลดล็อก ลองนึกถึงลูกหลานชาวบ้านที่ทุกเมษาต้องไปวิ่งหาปลัดขิก ไปเอาผ้าถุงแม่มาคลุมหัวเพื่อไปเลือกตั้ง ขณะที่คนในเมืองไม่ต้อง ทั้งหมดนี้คือเขาเริ่มรับรู้และเริ่มตระหนักว่ามันต้องแก้ที่อะไรสักอย่าง แล้วก้าวไกลมาโดนใจ

เขาอาจจะไม่ได้คิดถึงโครงสร้าง เพียงแต่เขารู้สึกว่ามันต้องเปลี่ยนเรื่องนี้ เช่น สุราเท่าเทียม เราพูดกันมานาน ปี 2540 พวกเราที่เชียงใหม่สู้เรื่องเหล้าเท่าเทียมมานาน สิ่งที่ชาวบ้านเขารู้สึกคือ เอ๊ะ ทำไมวะแม่โขงถึงขายได้อย่างเดียว ทำไมเราทำขายไม่ได้ ทำไมเราต้องกินเหล้าขาวของโรงงาน เขารู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมนี้ซึ่งท้ายสุดแล้วเขาอาจจะไม่ได้คิดเรื่องโครงสร้างอะไร แต่เขารู้สึกว่า เฮ้ย มันต้องเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้ออกไปและก้าวไกลมาเสนอคำตอบให้กับความรู้สึกเขา

แสดงว่าเพื่อไทยพลาดที่มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้

ใช่ ผมคิดว่าเพื่อไทยไม่ทันจะตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในชนบท เมื่อก่อนที่เขาสามารถจับชนบทได้เพราะว่าสมัยนู้นที่เขาขึ้นมาใหม่ๆ เขาได้คนที่คลุกคลีกับชนบทอย่างจริงจังคือภูมิธรรม เวชยชัย ได้ฝ่ายซ้ายเป็นหมอมิ้ง (พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) หมอเลี๊ยบ (สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) แต่ขณะเดียวกันพอมาปีนี้คนพวกนี้หลุดไปจากชนบทแล้ว ภูมิธรรมก็หลุดจากวงการเอ็นจีโอไปแล้ว รวมทั้งวงการเอ็นจีโอจำนวนหนึ่งก็ยังคิดถึงวัฒนธรรมพอเพียงอะไรก็ว่าไป

เพื่อไทยขาด think tank ที่จะจับชีพจรของสังคม มันจึงทำให้เขาออกนโยบายมาคล้ายๆ เดิม เช่น คุณเศรษฐา ทวีสินออกมาพูดหมื่นบาท คือคิดอยู่ในระดับการให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น ผมคิดว่าเขาไม่ทันตระหนักว่ามีความเปลี่ยนแปลงตรงนี้



หนึ่งในความคิดหลักที่ฝังแน่นและสถาปนาคลุมสังคมไทยคือกระบวนการทำให้เกิดการจัดความสัมพันธ์ทางชนชั้น คุณคิดว่าความสัมพันธ์ทางชนชั้นแบบเดิมง่อนแง่นแค่ไหน

หลักการหนึ่งที่จัดตั้งสังคมไทยมานานก็คือ Hierarchization of Power ก็คือกระบวนการจัดความสัมพันธ์ลำดับชั้นทางอำนาจ เราอาจจะเห็นชัดๆ เลยว่ามันพัฒนามาตั้งแต่รัฐจารีตถึงรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชแล้วก็เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อันนี้คือกรอบใหญ่ กรอบใหญ่นี้ถ่ายโอนหรือแปรสภาพมาสู่ชีวิตประจำวัน เช่น คำว่ามารยาท มันสัมพันธ์กับอันหนึ่งที่สำคัญมากก็คือรู้ที่ต่ำที่สูง อันนี้คือสิ่งที่มันครอบสังคมไทยอยู่นานมากๆ แต่สิ่งที่เราพูดกันตอนต้นก็คือความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนรู้สึกความเท่าเทียมกัน รู้สึกถึงความเป็นพลเมืองที่แอคทีฟมากขึ้น ทั้งหมดมันไปหักล้าง Hierarchy

นักศึกษากับครูก็เปลี่ยน นักเรียนกับครูก็เปลี่ยน และอื่นๆ รวมถึงสิ่งที่ตั้งคำถามกับมารยาทที่เรียกว่า มารยาทไทย ไม่นานมานี้เองที่กระทรวงวัฒนธรรมทำคลิปการส่งของให้ผู้ใหญ่ ถูกซัดเละเทะเลย อันนี้เห็นชัดๆ เลยว่ามันเปลี่ยนอย่างมาก แล้วมันทำให้คนไม่สามารถจะยอมรับตรงนั้นได้ นอกจากมารยาทแล้ว สิ่งสำคัญเวลาพูดถึงกาลเทศะ กาลเทศะของสังคมไทยสัมพันธ์อยู่กับมารยาท สัมพันธ์อยู่กับจังหวะ สถานะของคน คนรู้จักกาลเทศะคือคนที่รู้ว่าเมื่อเข้าไปหาผู้ใหญ่คุณต้องทำอย่างไร คุณต้องเอามือกุมซิปกางเกงไว้และอื่นๆ ทั้งหมด อันนี้มันพังไปหมด คุณจะพบว่าทุกอย่างมันเปลี่ยน ดังนั้น ถามว่าลำดับชั้นทางอำนาจแบบเดิมมันเวิร์คมั้ย ผมคิดว่ามันไม่เวิร์คแล้ว มันมีแต่จะถูกหัวเราะเยาะ

เรื่องง่ายๆ อีกเรื่องหนึ่งนะซึ่งผมไม่เข้าใจว่าทำไมไม่แก้กัน การยืนในโรงหนัง เมื่อก่อนคนรุ่นผมหรือคนรุ่นพ่อคุณโอกาสดูหนังมันเป็นโอกาสพิเศษ คนรุ่นผมไม่ได้ดูหนังเป็นปกติ ดังนั้น การเข้าไปในโรงหนังและการยืนมันถูกทำให้เรารู้สึกว่าที่เรามีโอกาสดีๆ แบบนี้ก็เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ ในขณะนี้ที่คนรุ่นคุณ รุ่นลูกผม หรือรุ่นหลังมา การดูหนังเป็นเรื่องปกติเหมือนการกินข้าวและบางคนอาจจะดูหนังอาทิตย์ละ 3 วัน มันไม่ใช่สิ่งพิเศษแบบคนรุ่นผมรู้สึก ดังนั้น เขาก็จะรู้สึกอึดอัดกับการต้องยืนแล้วมันดูไม่เกี่ยวกัน ฉันซื้อตั๋วมาดูหนัง มันไม่เกี่ยวกับการที่สถาบันกษัตริย์ให้โอกาสกับคนอย่างเราถึงได้มานั่งอยู่ในโรงหนัง แอร์เย็นๆ

ผมคิดว่าถ้าคนที่สัมพันธ์กับเรื่องนี้ถอนเพลงออกไป ทุกอย่างก็ง่าย ในอังกฤษ 1960 1970 นักศึกษาเคมบริดจ์กับอ็อกฟอร์ดไปยึดโรงหนังแล้วไม่ยืน ถัดจากนั้นมาแป๊บเดียวควีนถอนเพลงออก อันนี้เป็นเรื่องง่ายๆ เพื่อจะอธิบายถึงมารยาท อธิบายถึงกาลเทศะ อธิบายถึงความรู้สึกที่ชีวิตมันเปลี่ยน มันไม่อยู่ภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบเดิมอีกต่อไป

ชุดความสัมพันธ์ใหม่ที่ก้าวไกลกำลังเสนอมีหน้าตาแบบไหน

ผมไม่รู้ ผมรู้จักกับก้าวไกลน้อยมาก ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคิดไปถึงไหน แต่ผมรู้สึกถึงนโยบายของเขาต่างๆ ทั้งหมด เขาคิดจะแก้ไขความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เขารู้สึกว่ามันก่อปัญหา แต่เขาคิดถึงจะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันด้วยการปฏิวัติมั้ย ผมไม่รู้ การที่เขาแตะ 112 คิดถึงการแก้ไข 112 บางระดับ มันคงมีผลต่อความคิดเรื่องระดับชั้นทางอำนาจอย่างแน่ๆ แต่ว่าความเท่าเทียมเขาถึงระดับไหน อันนี้ไม่รู้ แต่นโยบายของเขามันจะทำให้...สมมติมีเสาสองสามอัน เขาก็จะตีเสาที่มันโด่ขึ้นมาให้มันเท่าในระดับที่เขามองเห็นและรับรู้ ตอบได้แค่นี้

คุณคาดหวังว่าก้าวไกลกับเพื่อไทยต้องคิดต่อว่าจะสถาปนาอารมณ์ความรู้สึกใหม่ให้เป็นมาตรฐานทางอารมณ์อย่างไร

หนังสือเล่มใหม่ของผม (ด้วยรัฐและสัตย์จริง : ระบอบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด จริยธรรมแห่งรัฐ และความซื่อสัตย์ที่ผันแปร) ผมพยายามจะผลักดันให้สังคมไทยเข้าใจสองด้านด้วยกัน ด้านแรกก็คืออารมณ์ความรู้สึกที่เรามี อารมณ์ความรู้สึกของความรักชาติซึ่งเป็น emotional แบบหนึ่งมันไม่ใช่ของคุณคนเดียว แต่มันสัมพันธ์กับคนจำนวนหนึ่ง มันมีสิ่งที่เรียกว่า regime of emotion หรือระบอบอารมณ์ความรู้สึก

แล้วผมไปแตะอีกอันหนึ่งคือความซื่อสัตย์ เพราะผมคิดว่าสังคมไทยมีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์ แต่ความซื่อสัตย์ในสังคมไทยหรืออื่นๆ ก็ตามแต่ มันถูกแยกเป็นแค่อารมณ์หนึ่งๆ เป็นเสี้ยวๆๆๆ แต่ผมพยายามผลักไปว่าความซื่อสัตย์ ความเกลียดชัง ความละอาย และอื่นๆ ทั้งหมด แต่ละอันมันไม่ใช่เป็นความรู้สึกเดี่ยวๆ แต่มันจะเชื่อมโยงถึงกัน

กรณีความซื่อสัตย์มันไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียกว่า ระบอบเกียรติยศ คุณซื่อสัตย์ เริ่มต้นผมแปลก่อนว่าสังคมไทยแปลความซื่อสัตย์มาจากภาษาอังกฤษคือ honesty ซึ่งก็เหมือนกันฝรั่งคือมันเป็นเสี้ยวเดียว คือไม่ได้เชื่อม ซึ่งท้ายสุดแล้วไม่เวิร์ค ผมคิดว่าเราต้องอธิบายสิ่งที่เราต้องการความซื่อสัตย์ในสังคมไทย ผมใช้คำว่า integrity ในนี้ใช้คำว่าความสัตย์จริง ก็ดี ก็ทำให้เข้าใจมากขึ้น

Integrity ก็คือสมมติคุณทำงานผู้สื่อข่าว คุณซื่อสัตย์ต่อความเป็นผู้สื่อข่าวและต้องซื่อสัตย์ต่อจรรยาบรรณ แล้วคุณต้องซื่อสัตย์ต่ออีกหลายอย่างที่ประกอบกันเป็นระบอบเกียรติยศของผู้สื่อข่าว ผมคิดว่าระบอบเกียรติยศคือสิ่งสำคัญที่เราจะต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เพราะระบอบเกียรติยศเดิมที่สัมพันธ์เกี่ยวกับสิ่งที่เราพูดเมื่อกี้ก็คือลำดับชั้นทางอำนาจมันพัง

ดังนั้น ระบอบเกียรติยศใหม่ที่พรรคก้าวไกลจะต้องคิดและจะต้องสร้าง และเป็นการสถาปนาอารมณ์ความรู้สึกชุดใหม่ก็คือระบอบเกียรติยศที่ทำให้ความเท่าเทียมเป็นฐานของอารมณ์ความรู้สึก เช่น สมมติเราพูดถึงความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์บนฐานของระบอบเกียรติยศของความเท่าเทียมก็คือความซื่อสัตย์ต่อตัวเองที่จะทำให้ตัวเองทำงานที่ตนเองมีอย่างเต็มกำลังและซื่อสัตย์ต่อตนเองที่ทำงานอย่างเต็มกำลังนี้จะสัมพันธ์กับว่ามันจะต้องไปช่วยเหลือผู้อื่น จะต้องเข้าไปสัมพันธ์กับผู้อื่น มันจะไม่ใช่แค่ความซื่อสัตย์คือไม่โกง ไม่ขโมยแค่นั้น

ถามว่าก้าวไกลจะขยับไปตรงนี้มั้ย ถ้าดูหลายเรื่องผมคิดว่าเขาขยับไปสู่ integrity และขยับไปสู่การเชื่อมโยงคนอื่น เช่น สมรสเท่าเทียม สุราเสรี หรือคุณวิโรจน์โยนเรื่องส่วยเพื่อจะบอกว่าปัญหาส่วยไม่ใช่แค่ส่วยคอร์รัปชั่น แต่มันสัมพันธ์กับงบประมาณที่เสียไปในการทำลายถนน มันจะพบว่าคุณกำลังทำให้สังคมเกิดการขยับเขยื้อนที่ทำให้มี integrity เพิ่มขึ้น และ integrity นี้มันเริ่มขยับเชื่อมโยงคนอื่นๆ ไม่ใช่แค่เราไม่โกงก็ภาคภูมิใจแล้ว

สมมติว่าก้าวไกลสามารถผลักดันเรื่องเกษตรปลอดสารพิษได้มากขึ้นๆ ท้ายสุดเราจะพบว่ามีพี่น้องเกษตรกรจำนวนหนึ่งกระโดดเข้าสู่เกษตรปลอดสารพิษและสามารถพัฒนาตัวเองเป็นรูปแมวตัวหนึ่ง แล้วรูปแมวตัวนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ขายได้ของเขา เขาจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อการทำให้พืชของเขาปลอดสารพิษจริงๆ ขณะเดียวกันเมื่อปลอดสารพิษจริงๆ เขาก็จะรู้สึกว่าพืชที่เขาปลูกไม่ใช่แค่รายได้อย่างเดียวแล้ว แต่มันทำให้คนจำนวนหนึ่งที่ซื้อไปได้กินของดี มีประโยชน์ของตัวเอง

ดังนั้น โอกาสที่พรรคก้าวไกลถ้าหากได้เป็นรัฐบาล กระบวนการทำงานผมคิดว่ามันน่าจะนำไปสู่การสร้างความสัตย์จริงหรือ integrity อีกหลายรูปแบบ และเป็น integrity อันนี้จะเชื่อมโยงคนอื่นๆ ถ้าคุณบอกหน้าตาเป็นอย่างไร ผมคิดว่ามันก็อยู่ประมาณนี้คือเขากำลังจะสร้าง integrity บนฐานของความเท่าเทียมและจะเห็นความเชื่อมโยงของผู้คนมากขึ้น

การเลือกตั้งครั้งนี้เรายังได้เห็นการล่มสลายของบ้านใหญ่ในหลายๆ ที่ คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร

มันมี social mobility economic mobility ในหลายมิติมากๆ mobility อันแรกคือด้านกายภาพ คนกรุงเทพย้ายไปเชียงใหม่ คนกรุงเทพย้ายไปภูเก็ต มันถี่มากขึ้น พร้อมๆ กับ mobility อันนี้มันเกิด mobility ทางสังคมคือการเลื่อนชนชั้นมากขึ้น mobility เหล่านี้มันทำให้ผู้คนหลุดพ้นออกจากกรอบหรือวงอำนาจของระบอบอุปถัมภ์แบบเดิม

คนชลบุรี สมมติว่าเกิดปัญหากับตำรวจหรือมีปัญหาเศรษฐกิจ คุณวิ่งไปหาบ้านใหญ่ ไปหากำนันเป๊าะ (สมชาย คุณปลื้ม) คนศรีราชาก็วิ่งมาหาเป๊าะเหมือนกัน ปัจจุบันคนเหล่านี้โผล่ขึ้นมาแล้ว เขามีอำนาจในการที่จะดุลกับตำรวจเองหรือแม้กระทั่งใช้โซเชียลบลัฟตำรวจ การที่จะอยู่ภายใต้การคุ้มครองหรือใช้ระบบอุปถัมภ์หรือระบบบ้านใหญ่ในการคุ้มครอง เป็นช่องทางแก้ไขปัญหาส่วนตัวมันลดลงมาก จึงทำให้บ้านใหญ่มันพังทลายทุกที่


ภาพกราฟิกผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ แบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ : https://election66.thaipbs.or.th/result/geo/areas/2007

สุชาติ ชมกลิ่นเองเป็นเด็กหนองมน คุณจะพบว่าทันทีที่ปีกกล้าขาแข็งก็ผละจากลูกกำนันเป๊าะ mobility นี้จึงมีผลอย่างไพศาล แล้วสุชาติเองก็พังเพราะสุชาติเองก็เล่นเกมแบบเดิมคือเล่นเกมเป็นบ้านใหญ่หลังใหม่ ขณะที่บางแสน ชลบุรีเองทั้งหมดเปลี่ยนหมดแล้ว ภาคตะวันออกทั้งหมดก้าวไกลได้ปาร์ตี้ลิสต์เยอะมาก มันชี้ให้เห็นชัดๆ เลยว่าภาคตะวันออกไม่ใช่ดินแดนของบ้านใหญ่อีกต่อไป

ข้อเสนอเรื่อง mobility ผมคิดว่าสังคมไทยยังขาดการศึกษา มีงานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทย อันนี้น่าสนใจ เขาบอกว่าแรงงานจากกรุงเทพในช่วงโควิดกลับบ้าน แล้วเขาพบว่าหลายสิบเปอร์เซ็นต์ไม่กลับมากรุงเทพ ตัดสินใจที่จะอยู่บ้าน หางานทำ สร้างงาน น่าสนใจคือท้ายสุดแล้วคนพวกนี้คือคนที่หลุดพ้นออกจากระบบอุปถัมภ์เดิม ทางเหนือก็คล้ายๆ กัน กลับไปบ้านที่อีสานเขาทำงานที่เป็นศักยภาพของเขาที่เขาฝึกฝนมาจากกรุงเทพและอื่นๆ แล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงอันเกิดจาก mobility ทางด้านเศรษฐกิจและอื่นๆ ทำให้คนเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนระบอบคิดใหม่

คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของก้าวไกลในภาคใต้ก็ได้มาก แต่ตัวบุคคลแทบไม่ได้เลย แสดงว่าภาคใต้ไม่เหมือนใคร

ประชาธิปัตย์ก็ได้น้อยลงนะ คุณจะพบว่าคนเดิมจากประชาธิปัตย์ได้ หมายความว่าภาคใต้แม้ว่าระบบเศรษฐกิจเปลี่ยน มี mobility แต่คนภาคใต้เองถ้านับการเคลื่อนย้าย คนที่อื่นย้ายไปปักษ์ใต้เยอะมั้ย ผมคิดว่าไม่มากนัก แต่มันเป็นการย้ายกันเองในภาคใต้ คนอีสานมาอยู่ทางเหนือเยอะมากเลย คนอีสานไปใต้มีมั้ย ไม่มากนัก แต่คนใต้จะเคลื่อนย้ายในวงของภาคใต้กันเอง ยกเว้นภูเก็ต ดังนั้น การย้ายไปแบบนี้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติหรือความสัมพันธ์แบบเดิมยังดำรงอยู่ แม้ว่าระบบเศรษฐกิจเปลี่ยน

ความสัมพันธ์ทางเครือญาติอันเกิดจากการเคลื่อนย้ายทางกายภาพน้อยกว่า มันจึงทำให้คนจำนวนมากเลือกตั้ง ส.ส. ยังเลือกตัวบุคคลแบบเดิม จึงไม่แปลกใจที่ประชาธิปัตย์ได้ พรรครวมไทยสร้างชาติได้ แต่เป็นคนของประชาธิปัตย์เยอะมากนะ จึงไม่แปลกใจว่าพื้นที่ในภาคใต้ที่มีการ mobility ด้านกายภาพน้อยกว่าภาคอื่นจึงยังคงเป็นนักการเมืองหน้าเดิม แต่เปลี่ยนพรรค ยกเว้นพื้นที่เดียวคือนครศรีธรรมราช ปาร์ตี้ลิสต์เทให้รวมไทยสร้างชาติสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 กรณีของนครผมคิดว่าอธิบายได้อย่างหนึ่งคือฐานประชาธิปัตย์ อันนี้คือความแตกต่างของภาคใต้ที่ ส.ส. พื้นที่ยังเป็นคนเดิมอันเนื่องจากความสัมพันธ์ทางสังคมเดิมยังดำรงอยู่



ก้าวไกลมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 และพบว่า 14 ล้านเสียงเลือกก้าวไกล ระบอบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่ว่าด้วยความจงรักภักดีเปลี่ยนไปแล้วหรือเปล่า แล้วความจงรักภักดีในระบอบอารมณ์ความรู้สึกใหม่มีหน้าตาอย่างไร

ผมอธิบายอย่างนี้ ระบอบเกียรติยศของสังคมไทยในช่วง 30 ปีหลัง สิ่งที่เกิดขึ้นคือสังคมไทยพยายามทำให้ความจงรักภักดีเป็นระบอบเกียรติยศที่สำคัญที่สุด แปลว่าใครก็ตามที่แสดงความจงรักภักดีคุณจะรู้สึกถึงการได้รับเกียรติยศ ทั้งที่เบื้องหลังคุณอาจจะเละเทะ ถ้าเราไล่ไปดูคนที่ประกาศตัวจงรักภักดีมีปัญหาเยอะมากเลยนะ

ระบอบเกียรติยศที่เป็นความจงรักภักดี เราต้องยอมรับว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงชาญฉลาดมาก ได้สร้างระบอบเกียรติยศฝังไว้ในสังคมไทยคือความจงรักภักดีและกลายเป็นระบอบเกียรติยศที่ใหญ่ที่สุดและแน่นที่สุด ดังนั้น ระบอบเกียรติยศนี้เมื่อมันสัมพันธ์กับลำดับชั้นทางอำนาจ ใครเข้าใกล้คุณจะมีอำนาจมากกว่าคนอื่น ระบอบนี้เริ่มถูกตั้งคำถาม มันไม่ใช่แค่ตั้งคำถามกับความจงรักภักดี แต่ตั้งคำถามกับลำดับชั้นทางอำนาจที่อยู่ในระบอบเกียรติยศความจงรักภักดี

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่าท้ายสุดแล้ว ระบอบเกียรติยศความจงรักภักดีแบบเดิมที่ปิดกั้นคนอื่นถ้าใครไม่มีตรงนี้หรือมีน้อย คุณก็ไปอยู่ท้ายแถวหรือหลุดออกไป คุณต้องพิสูจน์ให้สังคมเห็นให้ได้ คุณจะจงรักภักดีจริงหรือไม่ไม่สำคัญหรอก สำคัญว่าคุณทำให้สังคมเห็นว่าจงรักภักดีกลายเป็นคนที่มีอำนาจสูง มันถูกซ้อนกันแบบนี้ มันจึงถูกตั้งคำถามไปพร้อมๆ กัน

การแก้ไขที่สำคัญที่สุดที่ผมคิดว่าถ้าก้าวไกลจะทำคือแก้ว่าการฟ้องจะไม่ใช่ใครฟ้องก็ได้แบบนี้ เพราะใครฟ้องก็ได้มันเปิดโอกาสให้มีตัวแสดงที่เข้ามาอิงกับความจงรักภักดีและแสวงหาอำนาจ คนที่ฟ้องเด็กเยอะๆ ก็จะได้รับการโปรโมทในจังหวัดนั้นๆ และการแก้ไขตรงนี้ผมคิดว่าอย่างน้อยที่เขาอยากจะแก้ต่ำสุดคือฟ้องอิสระไม่ได้ ผมเห็นด้วย พวกเราเอง พวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนพูดเรื่องนี้มานานว่าปล่อยให้ฟ้องอิสระไม่ได้ ดังนั้น การแก้ไขตรงนี้จะทำให้ความจงรักภักดีถูกเคลื่อนมาเป็นการจงรักภักดีอย่างจริงใจมากขึ้น ไม่ได้ไปสัมพันธ์อยู่กับลำดับชั้นทางอำนาจ

ต่อไปในอนาคตอีกสักสิบปีห้าปีข้างหน้ามันไม่ใช่ระบอบเกียรติยศ เมื่อหลุดออกจากระบอบเกียรติยศความจงรักภักดีก็จะกลายเป็นความรู้สึกธรรมดาสามัญเหมือนกับคนอังกฤษหรือคนญี่ปุ่นที่ยังรักสถาบันกษัตริย์ คนอังกฤษประมาณสักครึ่งหนึ่งก็มีเอาไว้ได้ กษัตริย์ชาร์ลก็เป็นกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง ก็จะเป็นความรู้สึกธรรมดาแบบนั้น หรือกับจักรพรรดิญี่ปุ่น แต่จะไม่มีการพยายามจะผนวกตัวเองเข้าไปกับความจงรักภักดีเพื่อเลื่อนสถานะ

ชนชั้นนำและกลุ่มอนุรักษนิยมจะสกัดไม่ให้พิธาได้เป็นนายกฯ

ผมคิดว่าเขาพยายามจะทำ อยากจะทำ และกล้าทำ แต่ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือข้ออ้างในการกระทำนั้นต้องสมเหตุสมผลพอสมควร ผมคิดว่าเขาหาตรงนี้ไม่ได้ ถ้าเขาหาได้เมื่อไหร่ผมคิดว่าเขาทำ แล้วถ้าเขาคิดว่าข้ออ้างเขามีเหตุผลระดับหนึ่ง เขาทำและก็สามารถดึง คฝ. มาตีพวกต่อต้าน

แต่ตอนนี้ผมคิดว่าเขายังเห็นช่องตรงนั้นไม่ชัดหรือไม่มั่นใจว่าจะสมเหตุสมผลมั้ย ดังนั้น ถึงวันนี้เองเราจะเห็นถึงความหลากหลายของปีกที่มาพูดอะไรที่เฟอะฟะกระจัดกระจาย ผมไม่รู้ว่าเขาจะหาช่องได้มั้ย แต่ถ้าถึงวันนี้ผมคิดว่าเขายังหาไม่ได้ ดังนั้น เขาอาจจะต้องปล่อยให้ก้าวไกล เพื่อไทย แปดพรรคเป็นรัฐบาลไปก่อน แล้วไปวัดดูว่าคุณจะพลาดเมื่อไหร่ ดังนั้น เพื่อไทย ก้าวไกลที่เป็นรัฐบาลคุณทำงานในปีแรกพลาดไม่ได้ พลาดเมื่อไหร่คุณถูกแทง ผมต้องตอบแบบไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะไปหาช่องตรงไหนได้อีกมั้ย แต่ช่องวันนี้ไม่ใช่ช่องที่สมเหตุสมผลที่จะเล่น และถ้าหากเคลื่อนไปแบบนี้ หาช่องไม่ได้ ผมคิดว่าก้าวไกลกับเพื่อไทยน่าจะพอหาเสียง 376 เสียงได้ อาจจะนะ อาจจะมาจาก ส.ส. ด้วยกันจากพรรคนั้นพรรคนี้


ชนชั้นนำกลัวไหมถ้าพิธาจะได้เป็นนายกฯ

ใช้คำว่า กลัวมั้ย ลดลงมาหน่อยแล้วกัน เขากังวลมากว่าถ้าหากเขาขวางอย่างไม่มีเหตุผล มันจะทำให้เขาพัง แล้วเขาจะระดมผู้คนมาสนับสนุนเขาได้ยากถ้ามันไม่สมเหตุสมผล ไม่มีน้ำหนัก ผมถึงบอกว่าเขาต้องพยายามหาช่องให้ได้ ข้อหาต่างๆ ตอนนี้มันกระจอกพอๆ กับตอนสมัครทำกับข้าว ตอนนั้นกระแสไม่เอาสมัครมันสูงมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ถ้าเรานึกถึงคน 14 ล้านเลือกก้าวไกลกับคนอีก 10 ล้านเลือกเพื่อไทย คน 24 ล้านคนนะที่กำลังอยู่ในจังหวะของการเปลี่ยนแปลง