พิธา เคารพการตัดสินใจ 2นักกิจกรรม ถอนประกันตัวเอง ย้ำสภาหน้าต้องแก้ม.112

พิธา เคารพการตัดสินใจ 2นักกิจกรรม ถอนประกันตัวเอง ย้ำสภาหน้าต้องแก้ม.112 https://t.co/g5ZLK8UDdm

— ข่าวสด (@KhaosodOnline) January 16, 2023

Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
11h

นับตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน มีเยาวชนและประชาชนถูกดำเนินคดีจากการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมือง ทั้งสิ้นอย่างน้อย 1,888 ราย ในจำนวนนี้ถูกดำเนินตาม ม. 112 อย่างน้อย 225 ราย
.
จำนวนหนึ่งในนั้น ได้แก่ คุณทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และคุณแบม อรวรรณ ภู่พงษ์ ซึ่งวันนี้ทั้งคู่ได้เดินทางไปขอ “ถอนประกันตัวเอง” ที่ศาล เพื่อแสดงออกให้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ถูกกักขังอยู่อย่างไม่เป็นธรรมจากคดีการเมือง
.
สำหรับกรณีของคุณทานตะวันนั้น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ทนายความได้ติดต่อให้ผมไปเป็นนายประกันให้แก่เธอ สุดท้ายศาลได้อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวเธอตามคำร้อง และแต่งตั้งให้ผมเป็นผู้กำกับดูแลคุณทานตะวัน
.
มาวันนี้ อาจมีหลายคนไม่เห็นด้วยที่คุณทานตะวันและคุณแบมไปยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอถอนประกันตัวเอง แต่ผมในฐานะผู้กำกับดูแล ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเธอเองตามเหตุผลที่ว่า “พวกเราพร้อมแลกอิสรภาพจอมปลอมที่ศาลมอบให้ เพื่ออิสรภาพที่แท้จริงของเพื่อนเรา”
.
ในช่วงวิกฤตการเมืองไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อมีประชาชนลุกขึ้นมาเรียกร้องประชาธิปไตยและการเปลี่ยนแปลง ผู้มีอำนาจกลับปราบปรามพวกเขาด้วยความรุนแรง จับกุมคุมขัง และดำเนินคดีพวกเขาเหล่านั้นโดยไม่สนใจหลักนิติรัฐและหลักสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานแต่อย่างใด
.
ที่น่าเป็นห่วงต่อกระบวนการยุติธรรมและสถาบันตุลาการคือ กลไกตั้งแต่ตำรวจ อัยการ และศาล กำลังถูกมองว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดปราบการแสดงออกประชาชนเช่นกัน อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ความรุนแรงจากกระบวนการยุติธรรม’
.
ในช่วงการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีนวัตกรรมใหม่ในการกดปราบประชาชน นั่นคือเมื่อมีการดำเนินคดีทางการเมือง ในหลายคดีหากผู้ต้องหาหรือจำเลยอยากได้อิสรภาพ ศาลจะอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวได้ ก็ต่อเมื่อยอมรับเงื่อนไขว่า “ห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาหรือเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ อันอาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย ในบ้านเมือง และห้ามจำเลยกระทำการใดๆ ในอันที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือเกิดความกระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” และผู้ต้องหาหรือจำเลยหลายคนจะถูกถอนการประกันตัวเพราะเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง
.
นั่นหมายความว่า แม้การพิจารณาคดีจะยังไม่ถึงที่สุด ศาลกลับพิพากษาไปล่วงหน้าแล้วว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยกระทำผิด รวมทั้งการพิจารณาว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะได้รับสิทธิในการประกันตัวหรือไม่ กลับไม่เป็นไปตามหลักกฎหมาย
.
นอกจากนั้น การตั้งเงื่อนไขให้ต้องใส่กำไลข้อเท้า (EM) หรือแม้แต่การห้ามออกจากบ้านนั้น ก็เป็นการ ’ลงโทษ’ มากกว่าการให้อิสรภาพหรือคืนความเป็นธรรมแก่จำเลย ผมอาจใช้คำเดียวกับคุณทานตะวันก็ได้ว่าเป็น ‘อิสรภาพจอมปลอม’ โดยเฉพาะกับผู้ต้องหาหรือจำเลย ม.112
.
ผมเห็นว่า การดำเนินคดีการเมืองอย่างที่เป็นอยู่กำลังจะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไม่มีทางออก และผมไม่เชื่อว่าการใช้ ม.112 อย่างนี้จะเป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันการใช้ ม.112 จะยิ่งสร้างความแตกร้าวระหว่างประชาชนกับสถาบันกษัตริย์มากขึ้นไปอีก
.
นี่คือปัญหาแรกๆ ที่รัฐบาลสมัยหน้าต้องแก้ คือ หนึ่ง ยุติการดำเนินคดีการเมือง และสอง นิรโทษกรรมนักโทษคดีการเมือง เพื่อคืนความยุติธรรม ลดความขัดแย้งทางการเมือง และเปิดทางให้ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยแก้ปัญหาการเมืองที่สะสมมานับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549
.
นอกจากนั้น สภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้าก็ควรต้องแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายความมั่นคงหลายฉบับ รวมทั้ง ม.112 ที่อย่างน้อยต้องมีการแก้ไขบทบัญญัติไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และมีความสมดุลกันระหว่างการคุ้มครองประมุขของรัฐกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
.
ผมยังยืนยันในสิ่งที่เคยอภิปรายไว้ในสภาว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรหยุดแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าในการชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งการแสดงออกในโลกออนไลน์ ยังมีเยาวชนและประชาชนอีกมากมาย ที่ได้แสดงออกถึงประเด็นที่เป็น ‘Inconvenient Truth’ หรือ ‘ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ’ สำหรับสังคมไทย
.
ไม่ว่าเราจะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ถึงเวลาแล้วครับที่เราต้องยอมรับว่า ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจเหล่านั้น เป็นความรู้สึกแห่งยุคสมัย เป็นผลผลิตของปัญหาที่พวกเราล้วนมีส่วนร่วมสร้างขึ้นมาและหมักหมมเอาไว้ให้ลูกหลาน ถ้าพวกเราพร้อมและต้องการที่จะรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่จริงๆ ผมขอเชิญชวนให้ตั้งสติเสียใหม่ เปิดใจ ปรับมุมมอง แล้วลงมือหาทางออกของประเทศไปด้วยกัน
.
แต่ถ้าเราไม่พร้อม เราก็จะมองเห็นเพียงแค่ว่า ผู้เป็นอนาคตของชาติเหล่านั้น เป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นนั้น ประเทศก็จะไม่มีทางออก ไม่มีอนาคต เพราะพวกเราช่วยกันฆ่าอนาคตของประเทศด้วยมือของพวกเราเองแล้ว

สี่ปีที่ผ่านมาคงเห็นแล้วว่านักการเมืองส่วนมากยังขี้ขลาดเมื่อเป็นประเด็นสถาบันกษัตริย์ และกำลังจะมีอีก 4 ปีที่อาจจะเสียเปล่า ถ้าสส. ยังคงกลัวมาตรา 112
อยากรณรงค์อย่างจริงจัง และขอให้ชาวทวิตเตอร์ช่วยกันกระจาย แฮชแท็ก (Hashtag) #เลือกพรรคการเมืองที่มีนโยบายยกเลิกมาตรา112

— Junya Yimprasert-จรรยา ยิ้มประเสริฐ #จรรยาเบิกเนตร (@JunyaYimprasert) January 16, 2023