ตรรกะที่ว่า “แล้วทำไมไม่ไปอดข้าวอดน้ำกับเขาเสียเองล่ะ” ฟังเผินๆ เหมือน ‘ฉลาดย้อน’ ที่จริงแล้วมันเป็น ‘สำนึกป่วย’ เป็นการเอาชนะคะคานทางความคิด เสียจนไม่คำนึงว่า ยังมีคนที่กล้าหาญอย่างบ้าบิ่นอยู่มากมายในโลกนี้
‘ไม้ซีกงัดไม้ซุง’ ได้นะ ถ้ามีไม้ซีกเป็นร้อยๆ แต่อย่างน้อยๆ มีสำนึกแบบ อิสระ ฮาตะ สักหน่อยก็ยังดี “ผมทนเห็นน้องทั้งสองคนจะต้องเสียชีวิตเพราะอดน้ำอดข้าวไม่ได้” เขาว่า “แม้ไม่เห็นด้วยในวิธีการ แต่ความเป็นคนมันมาก่อนอะ”
หรือจะเงี่ยฟัง อานนท์ นำภา สักนิดก็ได้ เขายกตัวอย่าง “ตอนคนรุ่นใหม่ออกมาพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ หลายคนเห็นด้วย แต่ด้วยข้อจำกัด ก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นเวทีพูด” กรณีตะวันกับแบมเช่นกัน ไม่ต้องไปอดข้าวกับเขา “แต่เราหนุนเสริมทั้งสองได้”
ตะวันน้ำหนักลดไปเกือบ ๕ กก. ส่วนแบมลดไป ๖ กก.แล้ว...ระหว่างการสนทนา ทั้งสองนั่งทรงตัวลำบาก ต้องเอนพิงกันไปมาเพื่อให้นั่งอยู่ได้ ตะวันซบไหล่แบม ส่วนแบมเอาหัวซบหัวตะวันอีกที
ตลอดการสนทนาทั้งสองจะใช้เจลประคบเย็นประคบตามหน้าผาก ต้นคอ ใบหน้า เพื่อให้รู้สึกตื่นตัวและพูดคุยกับทนายความได้” ทว่า #ตะวันแบม ยังคงยืนยันอดอาหาร-น้ำต่อไป และต้องการย้ายออกจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์
เพราะไม่ไว้วางใจว่าอาจจะถูกกลั่นแกล้งหรือทำร้าย ขอให้พากลับไปที่ทัณฑสถานหญิงกลาง หรือสถานรักษาพยาบาลอื่นที่ไม่ใช่ควบคุมโดยราชทัณฑ์ ข้อสำคัญทั้งสองมีความเด็ดเดี่ยวในการประท้วงนี้ ดูได้จากคำเล่าของ ‘ทนายทราย’
“เห็นสายตาเด็กวันอาทิตย์ เขายังสู้ และยังพูดเช่นเดิมคือยอมตาย ไม่หยุด แต่หนูก็คิดว่าสังคมอาจจะคิดว่าน้องไม่จริงจัง มีแต่คนพูดถึงทางลงและให้เลิก...แต่น้องบอกว่าหนูตัดสินใจจะไม่กินน้ำ กินอาหารอีกต่อไปแล้ว”
“เธอทั้งคู่ไม่ได้โง่พอที่จะคิดว่า ความตายจะทำให้เกิดเหตุการณ์พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แต่เธอเลือกที่จะสู้ดีกว่าให้อำนาจอยุติธรรมไล่รังแกไปเรื่อยๆ” ความเห็นของ Atukkit Sawangsuk ตอบคำปรามาสที่ว่าเธอทั้งสอง “ไม่รู้จักประเมินสถานการณ์”
หรือแม้แต่ความเห็นที่ว่า “การสละชีวิตลักษณะนี้...ศัตรูไม่เจ็บปวด ไม่เดือดร้อน ไม่มีผลลบอะไรเลย” ก็ยิ่งไม่ใช่ วายุ รักประชาชน ตอบ Harin Yuwarattanaporn “ความรู้สึกเจ็บปวดกับการถูกลากไส้ให้คนทั้งโลกเห็นความเน่าเฟะ มันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว”
(https://www.facebook.com/baitongpost/posts/0VPRv6P8 และ https://twitter.com/TLHR2014/status/1617414362301624320)