เหรียญทอง แน่นหนา ผู้ร่วมจัดงานเดินเชียร์ลุง
และแนวร่วมกลุ่มการเมือง กปปส. ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ กำลัง ‘น้ำลายฟูมปาก’ และพ่นศักดา โพสต์เฟชบุ๊คต่ออีกวันตอบโต้เสียงวิจารณ์
‘ไร้จรรยาบรรณ’ อีกว่า
“สนองคำท้าของส้มหวาน ควายแดงแล้วนะครับ...พรุ่งนี้ผมจะนำเรียนเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(บัตรทอง) และเลขาธิการสำนักงานประกันสังคมให้พิจารณาพฤติกรรมของผม และ
รพ.มงกุฎวัฒนะ”
ถ้าพบว่า รพ.ของเขาเลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วยและผลักไล่ไสส่ง
“ซึ่งเป็นการผิดสัญญาการให้บริการ” ละก็ ขอให้“ยกเลิกสัญญากับ
รพ.มงกุฎวัฒนะในทันที และให้ชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญา” แล้วต่อด้วยคำท้า
“ทั้งนี้นักการเมืองและส้มเน่า
ควายแดงทั้งหลายที่โจมตีผม ได้โปรดเตรียมผู้ป่วยส้มเน่า
ควายแดงที่ถูกผมปฏิเสธการรักษาเพื่อเป็นพยาน” ด้วย “อย่ากล่าวลอยๆ ให้ร้ายบิดเบือนมั่วซั่ว…สันดานเลวนะครับ”
ไม่เท่านั้นเขายังประกาศให้ “ส้มเน่าและควายแดงที่มีสิทธิบัตรทองหรือสิทธิประกันสังคม” ขอให้จัดการย้ายโรงพยาบาลเสียไวๆ
ต่อกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย “เรียกร้องให้แพทย์สภาตรวจสอบพฤติกรรม”
เนื่องจากวันก่อนหน้า ‘หมอเหรียญทอง’ นำลงข้อความในทาง “ใช้ทัศนคติทางการเมืองชี้วัด-เลือกปฏิบัติต่อคนไข้และผู้ร่วมงานในโรงพยาบาล”
ดังหมออั้ม อิราวัต @Doctor_Um
ปริวิตกว่า “นี่เรามาถึง #กลียุค...มาถึงจุดเสื่อม
จุดตกต่ำขนาดนี้แล้วหรือครับ ไม่ทราบว่า #แพทยสภา
ทราบเรื่องหรือยัง” หลังจากที่เหรียญทองโพสต์ข้อความ
“ผู้สมัครงาน
รพ.มงกุฎวัฒนะ จะต้องแสดงข้อมูลส่วนตัว เช่น เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์
และข้อมูลส่วนตัวที่ใช้ในสังคมออนไลน์ประกอบการสมัครงาน
ผมจะไม่รับบุคลากรใหม่ที่มีอุดมการณ์เป็นปฎิปักษ์กับผม”
เขาว่าคนเหล่านั้นเป็น “พวกกาฝากแอบเกาะ
รพ.มงกุฎวัฒนะ กินบนเรือน ขี้บนหลังคา” เช่นเดียวกัน “ผมจะไม่สนับสนุนการซื้อสินค้า
การว่าจ้าง ฯลฯ
กับบริษัทคู่ค้าที่มีพนักงานขายหรือผู้แทนที่เป็นปฏิปักษ์กับผมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
เขาคุยว่าเมื่อครั้งก่อนที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ
โดนต่อต้านอย่างนี้มา ปรากฏว่า “ช่วงระยะเวลาเพียงปีเดียว...ต้องขยายกิจการจากปี ๕๖
ที่มีอยู่แค่ ๑๐๐ เตียง กลายเป็น ๓๐๐ เตียง...ทั้งยังต้องซื้อที่ดินขยายจากเดิม ๔ ไร่เป็น
๙ ไร่ในชั่วระยะเวลา ๒ ปี”
การที่ผู้ดำเนินการโรงพยาบาลแสดงความก้าวร้าวต่อสาธารณชนส่วนหนึ่ง
และถ่มถุยใส่หลักการมนุษยธรรมขนาดนั้น เพราะสามารถสร้างความมั่งคั่งพลิกผันจาก “ขาดทุนสะสมจากวิกฤตเศรษฐกิจปี
๔๐ กลายเป็นกำไรสะสม” ได้
หรือเพราะว่า “มี ‘มวลมหาประชาชน’ คอยบริจาคเลือดผ่านสภากาชาด” ให้ ก็คงเป็นไปได้ในเมื่อเครือข่ายคนมั่งมี
อูฟู ของเขา ‘แน่นหนา’ เขาจึงเคยกล้าประกาศว่า
“ไม่รับรักษาควายในร่างคน” มาแล้วในปี ๒๕๖๑
ทว่า Thuethan Prasobchoke ไม่วายตั้งข้อสังเกตุ “การเอาทัศนคติทางการเมืองมาตัดสินใจทางวิชาชีพ
อันอาจจะส่งผลต่อผู้เจ็บป่วยที่ไปรักษา และอาจจะไม่รู้ข่าวสารทางโซเชียลว่าตัวเองมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นมา”
ความรับผิดชอบจึงตกอยู่กับ
“สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ
สำนักงานประกันสังคม ที่ต้องประเมินและคุ้มครองผู้ประกันตน”
ไม่ให้เกิดความเสี่ยงดังว่า “ไม่ใช่ผลักภาระให้กับประชาชนให้รับความเสี่ยงเอง”
(https://www.sanook.com/news/8010462/, https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_3397907, และ https://www.matichon.co.th/social/news_974450)
ทั้งหมดนี้มันเป็น ‘จุดตกต่ำ’ ของสังคมไทยดังหมออั้มว่า
เมื่อชนชั้นนำที่ ‘เชี่ยร์ลุง’ อย่างเหรียญทองบังอาจรุกล้ำท้าทายหลัก
‘จรรยาบรรณ’ การแพทย์ และความสมบูรณ์ของหลักสุขภาพถ้วนหน้า
เรื่องนี้ ทั้ง #แพทยสภา ประกันสังคม และ สปสช.
จักต้องขยับได้แล้ว