กว่าหนึ่งเดือนหลังจากมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบที่ดินเขาสนฟาร์มของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ใน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี วันนี้ (2 ธ.ค. 2562) กรมป่าไม้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ น.ส.ปารีณา ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส ) ข้อหาบุกรุก แผ้วถางและยึดครองพื้นที่ป่า
ความเคลื่อนไหวของกรมป่าไม้ มีขึ้นในขณะที่การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปฏิบัติ "สองมาตรฐาน" ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้กำลังคุกรุ่น เนื่องจากประชาชนส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่เคยถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่าตั้งคำถามว่าเหตุใดการดำเนินคดีนักการเมืองจึงเป็นไปอย่างล่าช้า ขณะที่ชาวบ้านกลับถูกตั้งข้อหาอย่างง่ายดาย และหลายรายถูกตัดสินจำคุกไปแล้วด้วยซ้ำ แม้ที่ดินที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกจะมีขนาดเล็กกว่ามากและแม้ชาวบ้านจะยืนยันว่าครอบครองที่ดินมาก่อนการประกาศเป็นเขตป่าอนุรักษ์ก็ตาม
ปารีณา ไกรคุปต์ : ส.ป.ก.-กรมป่าไม้ บอก ใกล้ได้ข้อสรุป ฟาร์มไก่ 1,700 ไร่ รุก-ไม่รุกที่ป่าสงวน
มองทะลุวิวาทะ "เสรีพิศุทธ์-ปารีณา" สะท้อนสังคมไทยตกอยู่ในภาวะ "ตาบอดทางเพศ"
เปิดบัญชีทรัพย์สิน ส.ส. : สาว-สาวในสภาจาก 7 พรรคการเมือง สะสมอะไรกันบ้าง
"เหมือนจะฆ่าคนจนให้ตาย" "มันสองมาตรฐานชัดเจน" บางประโยคที่ชาวบ้านซึ่งถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่าระบายความรู้สึกกับบีบีซีไทย
ดังนั้น แม้กรมป่าไม้จะเดินหน้าเอาผิด ส.ส.ปารีณา ในวันนี้ แต่ดูเหมือนว่าความคับข้องใจที่ "คนจน" มีต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จะไม่ได้คลี่คลายลง บีบีซีไทยพูดคุยกับชาวบ้าน 2 คนที่ถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกที่ดินของรัฐ คนหนึ่งเพิ่งได้รับการประกันตัวออกมาจากคุกได้ไม่นาน อีกคนหนึ่งจะต้องขึ้นศาลฟังคำพิพากษาในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ ว่าพวกเธอรู้สึกอย่างไรต่อคดีที่ดินของนักการเมือง
ชาวบ้านไทรทอง : ทำไมเพิ่งมาตรวจสอบ ?
หนึ่งในกรณีที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับคดีที่ดินของ น.ส. ปารีณา คือ กรณีชาวบ้านไทรทอง อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ จำนวน 14 คน ถูกศาลตัดสินจำคุกตั้งแต่คนละ 5 เดือน ถึง 4 ปี พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวนหลายแสนบาท จนถึงสูงสุด 1.5 ล้านบาท หลังอุทยานแห่งชาติไทรทองฟ้องร้องดำเนินคดีจากนโยบายทวงคืนผืนป่าจากคำสั่ง คสช. เมื่อปี 2557
นิตยา ม่วงกลาง หญิงชาวบ้านนักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินและชาวบ้านรวม 13 คน เดินเข้าเรือนจำชัยภูมิจากคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โดยนิตยาอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 2 เดือน กว่าที่เธอจะได้รับการประกันตัว
สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน
คำบรรยายภาพก่อนศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ในคดีของนิตยา ม่วงกลาง ชาวบ้านได้จัดให้มีการผูกข้อมือเพื่อส่งกำลังใจแก่ผู้ต้องคดี
นิตยา ซึ่งถูกดำเนินคดีจากการทำกินบนที่ดินจำนวน 10 ไร่ ตั้งข้อสังเกตถึงความแตกต่างในการปฏิบัติที่ชาวบ้านได้รับจากการตรวจสอบที่ดินเพื่อทวงคืนผืนป่า
"บอกว่าทวงคืนผืนป่ากับนายทุน ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ยากจนยากไร้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดกับคนยากจนที่ถือครองที่ดิน บางคนไม่ถึง 10 ไร่ พอ 1,700 ไร่ ขึ้นมาเป็นข่าว ทำไมไม่ตรวจสอบตั้งแต่ปี 57 ทำไมต้องมาตรวจสอบเพราะคำพูดของคุณปารีณาเอง"
ชาวบ้านชุมชนซับหวายร้องเรียนสิทธิในที่ทำกินตาม มติ ครม. มาตั้งแต่ปี 2555-2556 จนมีการตั้งคณะทำงาน แต่กระบวนการนี้ก็ถูกล้มกระดานในปี 2557 เมื่อมีคำสั่ง คสช. เรื่องนโยบายทวงคืนผืนป่าออกมา ทำให้ไม่เกิดการพิสูจน์สิทธิจนนำมาสู่การดำเนินคดีกับชาวบ้าน 14 ราย
สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน
คำบรรยายภาพชาวบ้านบ้านซับหวายหรือ "ชาวบ้านไทรทอง" 14 คน ถูกพิพากษาจำคุกทั้งหมด แต่รอลงอาญา 1 คน
"เขา (ปารีณา) ร้องให้มีการรังวัดที่ดินใหม่ เขาก็ได้รับสิทธิ แต่ของชาวบ้านแค่ตรวจสอบสิทธิข้อพิพาท ร้องมาตั้งแต่ปี 2556 เรายังไม่เคยได้รับสิทธินั้น" นิตยากล่าว
"เขา (ปารีณา) ร้องให้มีการรังวัดที่ดินใหม่ เขาก็ได้รับสิทธิ แต่ของชาวบ้านแค่ตรวจสอบสิทธิข้อพิพาท ร้องมาตั้งแต่ปี 2556 เรายังไม่เคยได้รับสิทธินั้น" นิตยากล่าว
เสียงจากชาวบ้านซับหวาย ไทรทอง น้ำตาคนจนหลังถูกทวงคืนผืนป่า
แม้ว่าข้อยกเว้นในคำสั่ง คสช. จะระบุชัดว่าไม่ให้ดำเนินการกับผู้ยากไร้ แต่คดีความยังเกิดกับชาวบ้าน เนื่องจากรัฐบอกว่า ชาวบ้านกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านซับหวายต่อสู้มาโดยตลอด จนกระทั่งศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ตัดสินไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา และชาวบ้านต้องเดินเข้าเรือนจำ แต่ผลสรุปของคณะทำงานเพิ่งตรวจสอบเสร็จออกมาเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ว่าชาวบ้านทั้ง 14 คน เป็นผู้ยากจนยากไร้
"กระบวนการพวกนี้มันไม่ได้ช่วยให้เราพ้นผิดจากการเข้าไปอยู่เรือนจำ เราถูกประกันตัวในชั้นฎีกา จะได้รับอิสรภาพไหม เราก็ยังไม่รู้ว่าศาลฎีกาจะตัดสินออกมาอย่างไร"
ชาวบ้านแม่กวัก : ใครก็ดูออกว่านี่คือสองมาตรฐาน
วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อม วัย 52 ปี เป็นชาวบ้านแม่กวัก ต.บ้านอ้อน อ.งาว จ.ลำปาง เธอถูกเจ้าหน้าที่หน่วยงานพิทักษ์ป่าที่ 13 (แม่โป่ง) ยึดสวนยางพารา 10 ไร่ พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหา "ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง ทำไม้ เก็บหาของป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต" เหตุเกิดเมื่อเดือน ก.ย. 2561 และศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 18 ธ.ค.นี้
นางวันหนึ่งบอกกับบีบีซีไทยว่า ที่ดินผืนนี้เธอได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ครอบครัวของเธอใช้ทำกินมาตั้งแต่ก่อนทางการจะประกาศให้ที่ตรงนี้เป็นป่าสงวนแห่งชาติแม่โป่งเมื่อปี 2514 เสียอีก
ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2558 เธอถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้สั่งให้โค่นต้นยางทิ้งทั้งหมด ทำให้เธอถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว และยังไม่มีเงินมาใช้หนี้ที่กู้มาลงทุนปลูกยาง
"เราไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นแล้ว สวนยางนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะใช้หาเงินส่งลูกเรียน ลูกขอเงินไป รร.วันละ 50 บาท ก็ยังแทบไม่มีให้" เธอเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ
มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ
คำบรรยายภาพเมื่อปี 2558 วันหนึ่ง ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้สั่งให้โค่นต้นยางทิ้งทั้งหมด ต่อมาในปี 2561 เจ้าหน้าที่หน่วยงานพิทักษ์ป่าที่ 13 (แม่โป่ง) ได้ยึดสวนยางพารา 10 ไร่ พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินป่าสงวน
เมื่อถูกสั่งห้ามทำกินในที่ดิน เธอจึงเปลี่ยนไปทำงานรับจ้าง แต่สุดท้ายรายได้ก็ไม่เพียงพอจะส่งลูกทั้งสองเรียน เด็ก ๆ ต้องออกจากโรงเรียนเมื่อจบชั้น ม.3
เมื่อถามถึงคดีที่ดินของ ส.ส.ปารีณา วันหนึ่งตอบอย่างรวดเร็วว่า "มันเหลื่อมล้ำกันเกินไป พอคดีของเรา เจ้าหน้าที่ทำอย่างรวดเร็วมากเลย เราเคยไปคุยกับเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่าถ้าผมยกเว้นคุณ ก็เท่ากับว่าผมทุบหม้อข้าวของตัวเอง รัฐบาลบอกว่านโยบายทวงคืนผืนป่าต้องตรวจสอบก่อนว่าเป็นคนจนหรือเป็นนายทุน แต่นี่เขาไม่ตรวจสอบเลย เขาเร่งดำเนินคดีมากเลย สั่งให้เราตัดต้นยาง เป็นคนจนมันอยู่ยาก"
"มันสองมาตรฐานจริง ๆ ใคร ๆ ก็มองออก เหมือนเขาจะฆ่าคนจนให้ตาย ถ้ากับคนจนนี่เขาเอาเป็นตายเลย ไม่กี่วันก็ดำเนินคดีจับเข้าคุกแล้ว ใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ แต่คนมีอันจะกินอย่างปารีณา ทำไมปล่อยทิ้งไว้มานานโดยไม่ทำอะไร" วันหนึ่งตั้งคำถาม
อธิบดีกรมป่าไม้ยัน "ไม่ได้มีหลายมาตรฐาน"
ในการแถลงข่าววันนี้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ระบุว่า จากตรวจสอบที่ดินเขาสนฟาร์มของ น.ส.ปารีณา พบว่ามีการรุกล้ำที่ป่าสวนแห่งชาติ ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี 30 ไร่ และอยู่ในแนวเขตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 อีก 16 ไร่ รวมบุกรุกป่า 46 ไร่ กรมป่าไม้จึงได้มอบหมายให้คณะทำงานตรวจสอบเรื่องนี้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ บก.ปทส. ในความผิด 4 ข้อหา คือ
1.ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า เข้ายึดถือและครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตตามความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54
2. ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต ตามความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14
3.เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง เผาป่า ทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินในที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9
4.การกระทำผิดหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ ตามความผิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 97
นอกจากนี้นายอรรถพลยังได้ชี้แจงข้อกล่าวหาจากภาคประชาชนที่มองว่ากรมป่าไม้ดำเนินคดีกับคนจนแต่ละเว้นคนรวยว่า กรมป่าไม้ไม่ได้ประวิงเวลา ไม่ได้มีหลายมาตรฐาน และไม่ได้ปฏิบัติต่อ น.ส.ปารีณาแตกต่างจากประชาชนทั่วไปที่จะต้องถูกตรวจสอบเรื่องการบุกรุกถือครอบครองที่ดินป่าไม้
"ประชาชนทุกคนที่ถูกตรวจสอบเรื่องของการครอบครองที่ดิน ทุกคนมีสิทธิที่จะแย้งสิทธิ มีสิทธิที่จะยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม หรือมีสิทธิที่จะคัดค้านนะครับ...เราไม่ได้มีการประวิงเวลาหรือจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้หนึ่งผู้ใด เรายังคงมาตรฐานเดิมในการบังคับใช้กฎหมายตามแผนหยุดยั้งการทำลายป่าและฟื้นฟูป่า"
อธิบดีกรมป่าไม้ยืนยันด้วยว่า เจ้าหน้าที่ใช้เวลา "ไม่ถึงอาทิตย์" ในการตรวจสอบและร้องทุกข์กล่าวโทษ
อ่านบทความเต็มต่อที่
https://www.bbc.com/thai/thailand-50627940
อธิบดีกรมป่าไม้ยัน "ไม่ได้มีหลายมาตรฐาน"
ในการแถลงข่าววันนี้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ระบุว่า จากตรวจสอบที่ดินเขาสนฟาร์มของ น.ส.ปารีณา พบว่ามีการรุกล้ำที่ป่าสวนแห่งชาติ ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี 30 ไร่ และอยู่ในแนวเขตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 อีก 16 ไร่ รวมบุกรุกป่า 46 ไร่ กรมป่าไม้จึงได้มอบหมายให้คณะทำงานตรวจสอบเรื่องนี้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ บก.ปทส. ในความผิด 4 ข้อหา คือ
1.ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า เข้ายึดถือและครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตตามความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54
2. ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต ตามความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14
3.เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง เผาป่า ทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินในที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9
4.การกระทำผิดหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ ตามความผิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 97
นอกจากนี้นายอรรถพลยังได้ชี้แจงข้อกล่าวหาจากภาคประชาชนที่มองว่ากรมป่าไม้ดำเนินคดีกับคนจนแต่ละเว้นคนรวยว่า กรมป่าไม้ไม่ได้ประวิงเวลา ไม่ได้มีหลายมาตรฐาน และไม่ได้ปฏิบัติต่อ น.ส.ปารีณาแตกต่างจากประชาชนทั่วไปที่จะต้องถูกตรวจสอบเรื่องการบุกรุกถือครอบครองที่ดินป่าไม้
"ประชาชนทุกคนที่ถูกตรวจสอบเรื่องของการครอบครองที่ดิน ทุกคนมีสิทธิที่จะแย้งสิทธิ มีสิทธิที่จะยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม หรือมีสิทธิที่จะคัดค้านนะครับ...เราไม่ได้มีการประวิงเวลาหรือจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้หนึ่งผู้ใด เรายังคงมาตรฐานเดิมในการบังคับใช้กฎหมายตามแผนหยุดยั้งการทำลายป่าและฟื้นฟูป่า"
อธิบดีกรมป่าไม้ยืนยันด้วยว่า เจ้าหน้าที่ใช้เวลา "ไม่ถึงอาทิตย์" ในการตรวจสอบและร้องทุกข์กล่าวโทษ
อ่านบทความเต็มต่อที่
https://www.bbc.com/thai/thailand-50627940