“This
government is lost.” ไปแล้วละ
กู่ไม่กลับ บทความของบล็อกเกอร์ผู้หนึ่งจั่วหัว เขาอ้างความเชื่อจีนโบราณว่าจักรพรรดิได้ลิขิตจากสวรรค์
ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุอาเพศอันใดไม่สามารถแก้ไขและเยียวยาได้ นั่นแสดงว่าสวรรค์กริ้วเพราะทำงานไม่ได้เรื่อง
Ken Lohatepanont เป็นนักศึกษาที่ยูซีเบิร์คลี่ย์ เขาเขียนบล็อกอยู่เนืองๆ โดยงานชิ้นล่าสุดตีพิมพ์บนเว็บ
@ThaiEnquirer
เกี่ยวกับปรัชญาการเมืองที่ว่า ถ้าอนุรักษ์นิยมสามารถตีจากอำนาจนิยมได้
จะเป็นคุณูปการแก่ประชาธิปไตย
แต่บทความของเขาที่อ้างถึงนี้ จี้จุดตรงเรื่อง
“รัฐบาลเจอปัญหาท่วมหัว อากาศเป็นพิษที่ผ่านมาอย่างไม่ใส่ใจ
ภัยโรคระบาดทำให้พลเมืองตระหนกอกสั่น โดยรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นขึ้นได้
วิกฤตงบประมาณอันเกิดจาก ส.ส.ขาดประสิทธิภาพ”
แล้วยัง “การอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน
ประจวบกับอันดับความโปร่งใสในการบริหารประเทศต่ำเตี้ยลงไปอีก
รวมทั้งความเหลื่อมล้ำ ไร้เสมอภาคที่ดูเหมือนจะมีแต่แย่ลง ทั้งหมดนี้มีฉากหลังทมึนของเศรษฐกิจตกต่ำล้าหลังเพื่อนบ้าน”
ข้อสำคัญ “สถานการณ์อย่างนี้ยังมีโอกาสฟื้นฟูได้ถ้าคณะรัฐมนตรีจะรู้จักสื่อสารกับประชาชนให้เข้าท่าสักนิด
แต่ว่าคนไทยเจอแต่การเลคเชอร์ที่กวนประสาท นายกฯ ชอบทำตัวเป็นไอ้ฉุน (คำของผู้แปล
ได้อารมณ์เดียวกับ ‘angry self’) สม่ำเสมอ
กระทั่งรัฐมนตรีสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล
ก็ยังบอกกับคนไทยว่า “ใช้สมองหน่อยสิ คิดสักนิดก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ (รัฐบาล)” ซึ่งเมื่อ
๖ ปีที่แล้วตอนยึดอำนาจใหม่ๆ แถลงว่า “เราจะคืนความสุขให้ประชาชนแต่น้อยคนนักเวลานี้ได้เห็น...”
“ท่ามกลางหมอกฝุ่นพิษครอบคลุมกรุงเทพฯ” เค็น
โลหะเทพานนท์ ชี้ว่าไม่มี ‘ประเทศที่สวยงาม’
ตามโฆษณาชวนเชื่อของคณะยึดอำนาจ เขาจี้ใจกลางประเด็นด้วยว่า “มันเป็นโศกนาฏกรรมที่การปกครองเดินไปอย่างผิดทาง
หนักยิ่งกว่านั้นประชาชนไม่สามารถโหวตรัฐบาลออกได้”
ในเมื่อรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารจัดให้ร่าง เป็นดั่งพันธนาการทางการเมืองให้ต้องฝืนทน
ปิดทางแก้ สภาพจมปลักอย่างนี้นี่แหละบ่งว่า ‘ลิขิตสวรรค์’
กำลังถอนตัวออกจากจักรพรรดิแล้ว
หากไม่มีการปรับวิสัยทัศน์ของผู้ปกครอง ด้วยการรับฟังเสียงจากประชาชน
และดำเนินการมุ่งสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจังแล้วละก็ “กบฏจะเกิดขึ้นเพื่อที่ได้มีคนใหม่เข้ามารับช่วงลิขิตต่อ”
เพราะขณะนี้ความมีน้ำอดน้ำทนของประชาชนเจือจางเต็มทนแล้ว
‘Case in point.’ ที่เกี่ยวเนื่องเรื่อง
#ไวรัสโคโรน่า วันนี้ ญี่ปุ่นนำคนของตนกลับจากอู่ฮั่น ๒๐๖ คน
เครื่องลงที่โตเกียวแล้ว (Bloomberg @business) ยอดผู้ตายในจีน
๑๓๒ คน ผู้ป่วยในไทยเพิ่มเป็น ๑๔ คน (ยังครองอันดับสองของโลก) และ
“WHO เพิ่งออกมาแก้การประเมินความเสี่ยงของ
#ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 จากปานกลางเป็นสูงมาก”
(จากทวี้ตของ Chaturon/จาตุรนต์) ขณะที่ข้อความสนทนาทางสื่อสังคมเผยคลิป
กลุ่มนักเรียนไทยกลับจากจีน เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวจีน พบว่าไม่มีการตรวจอุณหภูมิร่างกายที่สุวรรณภูมิ
ถ้าเป็นจริงเช่นนั้นแสดงว่ารัฐบาลไทยก็โกหกประชาชนแบบเดียวกับรัฐบาลจีนเมื่อเกิดตื่นตระหนก
#ไวรัสโคโรน่าใหม่ๆ คำของนายกฯ และ
รมว.สาธารณสุขที่ว่า “ปัญหาไม่ใหญ่และควบคุมได้ ๑๐๐%” นั้น ‘BS’ (แปลเป็นไทยตรงตัวว่า ‘ขี้วัว’
แต่ความหมายไกลกว่านั้นเยอะ)
ยิ่งเมื่อ “นายกไทยตอบคำถามนักข่าวในภาวะวิกฤต
ด้วยเนื้อหาและลีลาเหมือนลุงแถวบ้านตัดรำคาญเมีย” ดังที่ Bow
Nuttaa Mahattana โพสต์คอมเม้นต์เมื่อเห็นคลิปข่าว ยิ่งแสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ของไทยหาทางไปไม่ถูกแน่นอน
‘โบว์’ สาวความต่อด้วยว่า
“นั้นเหตุผลเดียวคือ เพราะเขาไม่เคยต้องแคร์ฐานเสียงในการขึ้นสู่อำนาจ อีก ๓
ปีข้างหน้า สว.๒๕๐ คนที่แต่งตั้งไว้ก็จะโหวตให้เขาเป็นนายกต่ออีก” อย่างนี้นี่เอง
ประยุทธ์ถึงได้เคลม ยุคนี้เป็น “ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบแล้ว”
วาสนา นาน่วม ช่วยประโคม “เราเป็นประเทศที่มีการเลือกตั้ง
สื่อต่างประเทศก็ยอมรับปรับลำดับความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยขึ้นมาถึง ๓๘ ลำดับ”
แต่อะแฮ่ม เยอรมนียุคนาซีก็มีการเลือกตั้งนะเธอว์