วันพุธ, มกราคม 29, 2563

ไปแล้วกู่ไม่กลับ สวรรค์ถอนสัมปทาน “กบฏจะเกิดขึ้นเพื่อที่ได้มีคนใหม่เข้ามารับช่วงลิขิตต่อ”


“This government is lost.” ไปแล้วละ กู่ไม่กลับ บทความของบล็อกเกอร์ผู้หนึ่งจั่วหัว เขาอ้างความเชื่อจีนโบราณว่าจักรพรรดิได้ลิขิตจากสวรรค์ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุอาเพศอันใดไม่สามารถแก้ไขและเยียวยาได้ นั่นแสดงว่าสวรรค์กริ้วเพราะทำงานไม่ได้เรื่อง

Ken Lohatepanont เป็นนักศึกษาที่ยูซีเบิร์คลี่ย์ เขาเขียนบล็อกอยู่เนืองๆ โดยงานชิ้นล่าสุดตีพิมพ์บนเว็บ @ThaiEnquirer เกี่ยวกับปรัชญาการเมืองที่ว่า ถ้าอนุรักษ์นิยมสามารถตีจากอำนาจนิยมได้ จะเป็นคุณูปการแก่ประชาธิปไตย

แต่บทความของเขาที่อ้างถึงนี้ จี้จุดตรงเรื่อง “รัฐบาลเจอปัญหาท่วมหัว อากาศเป็นพิษที่ผ่านมาอย่างไม่ใส่ใจ ภัยโรคระบาดทำให้พลเมืองตระหนกอกสั่น โดยรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นขึ้นได้ วิกฤตงบประมาณอันเกิดจาก ส.ส.ขาดประสิทธิภาพ”

แล้วยัง “การอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน ประจวบกับอันดับความโปร่งใสในการบริหารประเทศต่ำเตี้ยลงไปอีก รวมทั้งความเหลื่อมล้ำ ไร้เสมอภาคที่ดูเหมือนจะมีแต่แย่ลง ทั้งหมดนี้มีฉากหลังทมึนของเศรษฐกิจตกต่ำล้าหลังเพื่อนบ้าน”
 
ข้อสำคัญ “สถานการณ์อย่างนี้ยังมีโอกาสฟื้นฟูได้ถ้าคณะรัฐมนตรีจะรู้จักสื่อสารกับประชาชนให้เข้าท่าสักนิด แต่ว่าคนไทยเจอแต่การเลคเชอร์ที่กวนประสาท นายกฯ ชอบทำตัวเป็นไอ้ฉุน (คำของผู้แปล ได้อารมณ์เดียวกับ ‘angry self’) สม่ำเสมอ

กระทั่งรัฐมนตรีสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ยังบอกกับคนไทยว่า “ใช้สมองหน่อยสิ คิดสักนิดก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ (รัฐบาล)” ซึ่งเมื่อ ๖ ปีที่แล้วตอนยึดอำนาจใหม่ๆ แถลงว่า “เราจะคืนความสุขให้ประชาชนแต่น้อยคนนักเวลานี้ได้เห็น...”

“ท่ามกลางหมอกฝุ่นพิษครอบคลุมกรุงเทพฯ” เค็น โลหะเทพานนท์ ชี้ว่าไม่มี ประเทศที่สวยงามตามโฆษณาชวนเชื่อของคณะยึดอำนาจ เขาจี้ใจกลางประเด็นด้วยว่า “มันเป็นโศกนาฏกรรมที่การปกครองเดินไปอย่างผิดทาง

หนักยิ่งกว่านั้นประชาชนไม่สามารถโหวตรัฐบาลออกได้” ในเมื่อรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารจัดให้ร่าง เป็นดั่งพันธนาการทางการเมืองให้ต้องฝืนทน ปิดทางแก้ สภาพจมปลักอย่างนี้นี่แหละบ่งว่า ลิขิตสวรรค์กำลังถอนตัวออกจากจักรพรรดิแล้ว

หากไม่มีการปรับวิสัยทัศน์ของผู้ปกครอง ด้วยการรับฟังเสียงจากประชาชน และดำเนินการมุ่งสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจังแล้วละก็ “กบฏจะเกิดขึ้นเพื่อที่ได้มีคนใหม่เข้ามารับช่วงลิขิตต่อ” เพราะขณะนี้ความมีน้ำอดน้ำทนของประชาชนเจือจางเต็มทนแล้ว

 
‘Case in point.’ ที่เกี่ยวเนื่องเรื่อง #ไวรัสโคโรน่า วันนี้ ญี่ปุ่นนำคนของตนกลับจากอู่ฮั่น ๒๐๖ คน เครื่องลงที่โตเกียวแล้ว (Bloomberg @business) ยอดผู้ตายในจีน ๑๓๒ คน ผู้ป่วยในไทยเพิ่มเป็น ๑๔ คน (ยังครองอันดับสองของโลก) และ

WHO เพิ่งออกมาแก้การประเมินความเสี่ยงของ #ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 จากปานกลางเป็นสูงมาก” (จากทวี้ตของ Chaturon/จาตุรนต์) ขณะที่ข้อความสนทนาทางสื่อสังคมเผยคลิป กลุ่มนักเรียนไทยกลับจากจีน เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวจีน พบว่าไม่มีการตรวจอุณหภูมิร่างกายที่สุวรรณภูมิ

ถ้าเป็นจริงเช่นนั้นแสดงว่ารัฐบาลไทยก็โกหกประชาชนแบบเดียวกับรัฐบาลจีนเมื่อเกิดตื่นตระหนก #ไวรัสโคโรน่าใหม่ๆ คำของนายกฯ และ รมว.สาธารณสุขที่ว่า “ปัญหาไม่ใหญ่และควบคุมได้ ๑๐๐%” นั้น ‘BS’ (แปลเป็นไทยตรงตัวว่า ขี้วัว แต่ความหมายไกลกว่านั้นเยอะ)
 
ยิ่งเมื่อ “นายกไทยตอบคำถามนักข่าวในภาวะวิกฤต ด้วยเนื้อหาและลีลาเหมือนลุงแถวบ้านตัดรำคาญเมีย” ดังที่ Bow Nuttaa Mahattana โพสต์คอมเม้นต์เมื่อเห็นคลิปข่าว ยิ่งแสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ของไทยหาทางไปไม่ถูกแน่นอน

โบว์สาวความต่อด้วยว่า “นั้นเหตุผลเดียวคือ เพราะเขาไม่เคยต้องแคร์ฐานเสียงในการขึ้นสู่อำนาจ อีก ๓ ปีข้างหน้า สว.๒๕๐ คนที่แต่งตั้งไว้ก็จะโหวตให้เขาเป็นนายกต่ออีก” อย่างนี้นี่เอง ประยุทธ์ถึงได้เคลม ยุคนี้เป็น “ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบแล้ว”

วาสนา นาน่วม ช่วยประโคม “เราเป็นประเทศที่มีการเลือกตั้ง สื่อต่างประเทศก็ยอมรับปรับลำดับความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยขึ้นมาถึง ๓๘ ลำดับ” แต่อะแฮ่ม เยอรมนียุคนาซีก็มีการเลือกตั้งนะเธอว์