#ไวรัสโคโรน่า
กำลังติดเทร็นด์แฮ้สแท็กอันดับหนึ่งในประเทศไทย แต่นี่ไม่ใช่เรื่อง ‘ไวรัล’ ธรรมดา จากคลิปที่เห็นคนติดเชื้อล้มทั้งยืนฟุบนิ่งไป
สร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชนอย่างยิ่ง ‘ความงัว’ ฝุ่นพิษยังไม่ทันหาย ‘ความฟาย’ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากจีนเข้ามาแทรก
แล้วโปรเฟสเซ่อด็อกเต้อโฆษกรัฐบาลเธอว์ว่าอย่างไร “รมว.ต่างประเทศเยือนจีนขอความร่วมมือแก้ปัญหาภัยแล้ง
ซึ่งทางการจีนพร้อมให้ความร่วมมือบรรเทาผลกระทบ” นี่เมื่อวันที่ ๒๓ มกรานี้เอง ตาม
‘ข่าวเด่น’
ของกระทรวงต่างประเทศ
ได้ความว่านายกฯ ส่ง ‘บักดอน’ บินด่วนจี๋ไปพบ
มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ขอปรึกษาเรื่องวิกฤตน้ำโขงจากภัยแล้ง
“ซึ่งได้สร้างความห่วงกังวลถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ
โดยเฉพาะวิถีชีวิตของชุมชนท้ายน้ำ รวมทั้งไทย”
ได้ความว่า “จีนจะเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนจิ่งหงอีก
๑๕๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือประมาณร้อยละ ๑๕-๒๐ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๓
เป็นต้นไป” เพราะจีนก็ตระหนักเรื่องนี้ แม้ว่า/ทั้งที่เป็นประเทศต้นน้ำ
เนื่องจาก “ปัญหาภัยแล้งซึ่งเป็นผลจากภาวะโลกร้อน
แม้แต่จีนที่เป็นประเทศต้นน้ำก็ประสบปัญหาอย่างหนักเช่นเดียวกัน” จีนจึง “รับที่จะพยายามให้ความร่วมมือเพื่อบรรเทาผลกระทบของปัญหาอย่างดีที่สุด...เพื่อช่วยประเทศปลายน้ำ”
ฟังดูดี๊ดี แต่ว่าสิ่งที่นักนิเวศน์วิทยาบ่นกันมาหลายปีแล้ว
ไม่ใช่เพิ่งเกิดจากภัยแล้งปีนี้ จีนสร้างเขื่อนตามลำน้ำโขงเป็นสิบๆ แห่ง
ที่ผันน้ำบ้าง กักน้ำบ้าง บางครั้งปิดชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างบนพื้นที่ริมฝั่ง
ปัญหาลำโขงปลายน้ำแห้งขอด เกิดเกาะแก่งกลางน้ำก็เพราะเขื่อนของจีนเป็นหลักใหญ่
ผลการพบปะเจรจากันระหว่าง ดอน ปรมัตถ์วินัย
กับ หวัง อี้ ครั้งนี้จะเป็นการ ‘ฟอกขาว’ ให้แก่จีนในกรณี ‘ชำเรา’
แม่น้ำโขงหรือไม่ รอให้ #ไวรัสโคโรน่า ซาลงเสียก่อน เดี๋ยวก็รู้ แต่กว่าจะซา
ไทยจะกลายเป็นผู้ใกล้ชิดของจีนในเรื่องนี้ไหมหนอ
ขณะเขียนนี่จำนวนผู้ป่วยด้วยไวรัสดังกล่าวในประเทศไทยถึง
๖ รายแล้ว เท่าที่เป็นข่าวสองรายเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้าประเทศมาเมื่อไม่กี่วันก่อน
ไทยพีบีเอสรายงานว่า รายที่ ๕ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถี
ส่วนมติชนเผย “ชาวจีน ๑ รายเป็นเพศหญิงเดินทางมาจากแหล่งที่มีการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น
มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ อ.หัวหิน ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำวันที่
๒๓ มกราคม...โดยมีอาการไข้สูง ๓๘.๖ องศาเซลเซียล
มีอาการไอ”
ประเทศเพื่อนบ้านไทยมีแต่มาเลเซียที่พบผู้ป่วยจากไวรัสนี้
๓ ราย ฮ่องกงแค่ ๒ ราย สิงคโปร์ยังไม่มี
เพราะเมื่อวานเขาส่งนักท่องเที่ยวกลับทั้งลำ ๑๑๐ คน
ไทยจึงเป็นประเทศที่พบผู้ป่วยมากกว่าเพื่อน บนพื้นฐานข้อมูลที่ว่า
“FYI คนอู่ฮั่นเดินทางไปไหนมากที่สุด
สถิติตั้งแต่ ๓๐ ธันวาคม ๒๐๑๙ – ๒๒ มกราคม ๒๐๒๐ อันดับ ๑ สุวรรณภูมิ อันดับ ๔
ดอนเมือง อันดับ ๗ ภูเก็ต สวัสดี" ที่มา FB Poomsub http://bit.ly/2NPih2K” Moui @moui แจ้งไว้
แต่ไทยก็พยายามแก้ปัญหาอย่างมะงุมมะงาหราพอควร
เมื่อเกิดการสับสนภายในกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างรัฐมนตรีกับกรมควบคุมโรค รัฐมนตรีโพสต์ยืนยันว่า
สธ.คุมสถานการณ์ได้ “ที่ควบคุมไม่ได้คือการปล่อยเฟคนิวส์ ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก”
แรกว่ากรมฯ ตั้งเครื่อง ‘เตอร์โมสแกน’ ตรวจความร้อนในร่างสำหรับผู้โดยสารขาเข้า
แล้ว อนุทิน ชาญวีรกูล โพสต์ค้าน จวกว่าจะตั้งเครื่องตรวจ “หาสวรรค์วิมานทำไมล่ะคร้าบ...ก็วันนี้เขายกเลิกไฟล้ท์จากอูฮั่นแล้ว”
ครั้น นพ.ธนะรักษ์ ผลิพัฒน์
รองอธิบดีกรมควบคุมโรคยืนยันว่า “ไทยยังไม่ยกเลิกการตรวจคัดกรองผู้โดยสารตามที่เป็นข่าวในโซเชียมีเดีย
เข้มข้นในการตรวจผู้โดยสารจากเมืองอื่นโดยเฉพาะกวางโจว
ซึ่งมีเที่ยวบินเข้าประเทศมากกว่า ๑๐ เที่ยว” (@ThaiPBSNews)
ท้ายสุดรัฐมนตรี ‘เสี่ยหนู’ (เดชะบุญ ‘ไม่มีปีก’ เพราะเขาสืบต้นตอไวรัสว่ามากจาก ‘นกมีหู’ ค้างคาวซึ่งเป็น ‘หนูมีปีก’) เปลี่ยนใจออกมาแถลงใหม่
“ยืนยันว่าเราไม่ได้ถอนหรือยกเลิกระบบการคัดกรองไรวัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ ที่ท่าอากาศยานแต่อย่างใด
แต่เราย้ายการคัดกรองตั้งแต่ประตูเครื่องบินของสายการบินที่มาจากเมืองรอบๆ
เมืองอู่ฮั่นแทน” ให้มันได้อย่างนี้สิ พูดผิดพูดใหม่ได้ไม่ต้องขอโทษ
ยังดีไม่ถึงขั้นเป็น #พระบิดาแห่งข้อยกเว้น แข่งกับ วิษณุ เครืองาม
ซึ่ง @madmax68176958 ทวี้ตถึงว่า “ก่อน #วิ่งไล่ลุง ครั้งหน้า
หนูอยากให้พี่บอลจัด #วิ่งไล่วิษณุ ก่อนเลย
คือจะทนไม่ไหวแล้วนะ คนอะไรทำกฎหมายบิดเบี้ยวไปหมด...หนูไหว้ล่ะ จัดเหอะ”