วันเสาร์, มกราคม 25, 2563

‘ความงัว’ ฝุ่นพิษยังไม่ทันหาย ‘ความฟาย’ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากจีนเข้ามาแทรก


#ไวรัสโคโรน่า กำลังติดเทร็นด์แฮ้สแท็กอันดับหนึ่งในประเทศไทย แต่นี่ไม่ใช่เรื่อง ไวรัล ธรรมดา จากคลิปที่เห็นคนติดเชื้อล้มทั้งยืนฟุบนิ่งไป สร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชนอย่างยิ่ง ความงัว ฝุ่นพิษยังไม่ทันหาย ความฟาย ไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากจีนเข้ามาแทรก

แล้วโปรเฟสเซ่อด็อกเต้อโฆษกรัฐบาลเธอว์ว่าอย่างไร “รมว.ต่างประเทศเยือนจีนขอความร่วมมือแก้ปัญหาภัยแล้ง ซึ่งทางการจีนพร้อมให้ความร่วมมือบรรเทาผลกระทบ” นี่เมื่อวันที่ ๒๓ มกรานี้เอง ตาม ข่าวเด่น ของกระทรวงต่างประเทศ

ได้ความว่านายกฯ ส่ง บักดอน บินด่วนจี๋ไปพบ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ขอปรึกษาเรื่องวิกฤตน้ำโขงจากภัยแล้ง “ซึ่งได้สร้างความห่วงกังวลถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะวิถีชีวิตของชุมชนท้ายน้ำ รวมทั้งไทย”

ได้ความว่า “จีนจะเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนจิ่งหงอีก ๑๕๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือประมาณร้อยละ ๑๕-๒๐ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป” เพราะจีนก็ตระหนักเรื่องนี้ แม้ว่า/ทั้งที่เป็นประเทศต้นน้ำ

เนื่องจาก “ปัญหาภัยแล้งซึ่งเป็นผลจากภาวะโลกร้อน แม้แต่จีนที่เป็นประเทศต้นน้ำก็ประสบปัญหาอย่างหนักเช่นเดียวกัน” จีนจึง “รับที่จะพยายามให้ความร่วมมือเพื่อบรรเทาผลกระทบของปัญหาอย่างดีที่สุด...เพื่อช่วยประเทศปลายน้ำ”


ฟังดูดี๊ดี แต่ว่าสิ่งที่นักนิเวศน์วิทยาบ่นกันมาหลายปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดจากภัยแล้งปีนี้ จีนสร้างเขื่อนตามลำน้ำโขงเป็นสิบๆ แห่ง ที่ผันน้ำบ้าง กักน้ำบ้าง บางครั้งปิดชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างบนพื้นที่ริมฝั่ง ปัญหาลำโขงปลายน้ำแห้งขอด เกิดเกาะแก่งกลางน้ำก็เพราะเขื่อนของจีนเป็นหลักใหญ่
 
ผลการพบปะเจรจากันระหว่าง ดอน ปรมัตถ์วินัย กับ หวัง อี้ ครั้งนี้จะเป็นการ ฟอกขาว ให้แก่จีนในกรณี ชำเรา แม่น้ำโขงหรือไม่ รอให้ #ไวรัสโคโรน่า ซาลงเสียก่อน เดี๋ยวก็รู้ แต่กว่าจะซา ไทยจะกลายเป็นผู้ใกล้ชิดของจีนในเรื่องนี้ไหมหนอ

ขณะเขียนนี่จำนวนผู้ป่วยด้วยไวรัสดังกล่าวในประเทศไทยถึง ๖ รายแล้ว เท่าที่เป็นข่าวสองรายเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้าประเทศมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ไทยพีบีเอสรายงานว่า รายที่ ๕ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถี

ส่วนมติชนเผย “ชาวจีน ๑ รายเป็นเพศหญิงเดินทางมาจากแหล่งที่มีการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ อ.หัวหิน ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำวันที่ ๒๓ มกราคม...โดยมีอาการไข้สูง ๓๘.๖ องศาเซลเซียล มีอาการไอ”

ประเทศเพื่อนบ้านไทยมีแต่มาเลเซียที่พบผู้ป่วยจากไวรัสนี้ ๓ ราย ฮ่องกงแค่ ๒ ราย สิงคโปร์ยังไม่มี เพราะเมื่อวานเขาส่งนักท่องเที่ยวกลับทั้งลำ ๑๑๐ คน ไทยจึงเป็นประเทศที่พบผู้ป่วยมากกว่าเพื่อน บนพื้นฐานข้อมูลที่ว่า

FYI คนอู่ฮั่นเดินทางไปไหนมากที่สุด สถิติตั้งแต่ ๓๐ ธันวาคม ๒๐๑๙ – ๒๒ มกราคม ๒๐๒๐ อันดับ ๑ สุวรรณภูมิ อันดับ ๔ ดอนเมือง อันดับ ๗ ภูเก็ต สวัสดี" ที่มา FB Poomsub http://bit.ly/2NPih2KMoui  @moui แจ้งไว้

แต่ไทยก็พยายามแก้ปัญหาอย่างมะงุมมะงาหราพอควร เมื่อเกิดการสับสนภายในกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างรัฐมนตรีกับกรมควบคุมโรค รัฐมนตรีโพสต์ยืนยันว่า สธ.คุมสถานการณ์ได้ “ที่ควบคุมไม่ได้คือการปล่อยเฟคนิวส์ ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก” 
แรกว่ากรมฯ ตั้งเครื่อง เตอร์โมสแกนตรวจความร้อนในร่างสำหรับผู้โดยสารขาเข้า แล้ว อนุทิน ชาญวีรกูล โพสต์ค้าน จวกว่าจะตั้งเครื่องตรวจ “หาสวรรค์วิมานทำไมล่ะคร้าบ...ก็วันนี้เขายกเลิกไฟล้ท์จากอูฮั่นแล้ว”

ครั้น นพ.ธนะรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรคยืนยันว่า “ไทยยังไม่ยกเลิกการตรวจคัดกรองผู้โดยสารตามที่เป็นข่าวในโซเชียมีเดีย เข้มข้นในการตรวจผู้โดยสารจากเมืองอื่นโดยเฉพาะกวางโจว ซึ่งมีเที่ยวบินเข้าประเทศมากกว่า ๑๐ เที่ยว” (@ThaiPBSNews)
ท้ายสุดรัฐมนตรี เสี่ยหนู(เดชะบุญ ไม่มีปีก เพราะเขาสืบต้นตอไวรัสว่ามากจาก นกมีหูค้างคาวซึ่งเป็น หนูมีปีก) เปลี่ยนใจออกมาแถลงใหม่ “ยืนยันว่าเราไม่ได้ถอนหรือยกเลิกระบบการคัดกรองไรวัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ ที่ท่าอากาศยานแต่อย่างใด

แต่เราย้ายการคัดกรองตั้งแต่ประตูเครื่องบินของสายการบินที่มาจากเมืองรอบๆ เมืองอู่ฮั่นแทน” ให้มันได้อย่างนี้สิ พูดผิดพูดใหม่ได้ไม่ต้องขอโทษ ยังดีไม่ถึงขั้นเป็น #พระบิดาแห่งข้อยกเว้น แข่งกับ วิษณุ เครืองาม

ซึ่ง @madmax68176958 ทวี้ตถึงว่า “ก่อน #วิ่งไล่ลุง ครั้งหน้า หนูอยากให้พี่บอลจัด #วิ่งไล่วิษณุ ก่อนเลย คือจะทนไม่ไหวแล้วนะ คนอะไรทำกฎหมายบิดเบี้ยวไปหมด...หนูไหว้ล่ะ จัดเหอะ”