เอ๊ะยังไง ‘นิด้าโพล’
วานนี้บอกคนส่วนมากอยากให้ ‘วิ่งไล่ลุง’ (๔๐.๘๖%) มากกว่านั้นเสียอีก ๔๙.๗๖% ต้าน ‘วิ่งเชียร์ลุง’
เหตุทั้งหลายทั้งปวงเพื่อจะได้จี้ก้นรัฐบาลประยุทธ์แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้จริงจัง
แต่ปัญหาอยู่ที่ ‘ไอทู้บ’ ทำเต็มที่แล้วได้แค่นี้อะ
ดูแต่เรื่องแก้ค่าเงินบาทแข็ง คนสั่งไม่รู้ละต้องแก้อีท่าไหน “ไปจัดการมาแล้วกัน”
ตามสไตล์ รปภ. แต่คนทำบ่น “ไม่มีการหนุนเสริมจากรัฐบาลจะทำให้แบงก์ชาติทำงานยากขึ้นมาก
เพราะโดดเดี่ยวเดียวดาย”
กอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นรองเลขานายกฯ
แต่ไปประจำทำงานข้างโต๊ะรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
พูดถึงเรื่องค่าเงินบาทว่ามีการหารือ ตั้งกรรมการ และดูแลอย่างใกล้ชิดโดยสามประสาน
คือกระทรวงคลัง สภาพัฒน์ฯ และแบ๊งค์ชาติ
“แบงก์ชาติพยายามทำเต็มที่ แต่ต้องมีคนช่วย
เช่น หากแบงก์ชาติดูแลค่าเงินอยู่แล้ว
ถ้าเกิดคลังขับเคลื่อนการคืนหนี้ต่างประเทศบางส่วน สภาพัฒน์ฯ
ช่วยขับเคลื่อนให้โครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นเร็วและนำเข้าได้มากขึ้น
จะช่วยลดภาระให้กับแบงก์ชาติ”
ทั่นรองฯ ชี้ช่องให้ด้วยว่า
ถ้าปล่อยแบ๊งค์ชาติทำคนเดียว ก็ต้องตาย “เพราะหลายเรื่องอยู่นอกเหนืออำนาจของแบงก์ชาติ”
อย่างเรื่องคืนหนี้นั่นละ ยกตัวอย่าง “เช่น บริษัท ปตท.จะไปลงทุนในสหรัฐฯ
ที่โอไฮโอ ก็เป็นเงินก้อนใหญ่ ก็จะช่วยแบงก์ชาติได้”
นั่นคือไอเดียไง “การคืนหนี้ก่อนเวลาก็ทำให้เงินไหลออก
ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ การไปซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศเงินก็ไหลออก
ทำให้เงินบาทอ่อนลง” มิหนำซ้ำทั่นรองเลขาฯ แนะด้วยว่าให้ “ช่วยส่งเสริมให้คนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศบางส่วน”
ก็เลยได้ บรรยง พงษ์พานิช
อดีตซูเปอร์บอร์ดโพสต์เหน็บเข้าให้ “ตอนนี้ผมพยายามช่วยชาติอย่างเต็มที่
โดยโอนทรัพย์สินทางการเงินไปลงทุนนอกประเทศกว่า ๗๐% ปีที่แล้วผลตอบแทนต่างประเทศดีมาก
ได้สูงถึง ๙%”
แต่พอตีกลับเป็นค่าเงินบาท ขาดทุนกำไร ๗.๕% เลยเหลือผลตอบแทนเพียง ๑.๕% “พอๆ
กับที่ลงทุนในประเทศแป้กๆ อย่างเรา” แต่ประธานบริษัทหลักทรัพย์ภัทรที่รับบริหารจัดการทรัพย์สินหลายพันล้านของ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าไม่เป็นไร
“จะพยายามบริโภคแต่ของนอก
ไปเที่ยวต่างประเทศเยอะๆ จะได้ถ่วงดุลค่าเงิน แถมได้ช่วยชาติอีก นี่ก็เพิ่งช้อปรถนำเข้าทั้งคันไปคันนึง
แถมไปเที่ยวแก้เกินดุลที่เวียดนามหกร้อยล้านดอง” บรรยง sarcastic
ซะไม่มี...วันนี้ก็ว่าจะไปช็อปรองเท้า Asic จากญี่ปุ่น
ไปสรวมวิ่งไล่ลุง (อันนี้ช่วยชาติสองเด้งเลย)”
Sarcastically ‘ยียวน’ ก็เพราะชี้ชวนให้คนมั่งมี (พวกกระจุก) ขนเงินออกไปกระจายต่างประเทศ
จะปล่อยให้พวก ‘กบ’ กระจายตายหยังเขียดอยู่ภายในประเทศ
มันเป็นตรรกะย้อนแย้งแห่งอาการ ‘สลิ่ม’ แบบเดียวกับเทือกแถวไทยที่สะใจ ‘ทรั้มพ์’ สั่งสังหารนายพลอิหร่าน สร้างกระแส ‘แกร่ง’ เอาชนะเลือกตั้งปลายปี
“ถ้าเกิดสงครามโลก (เริ่มจากสหรัฐฯ vs
อิหร่าน)
สภาวะวิกฤตเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศจะคล้ายยุคก่อนอภิวัฒน์สยามมาก
ที่ต่างคือค่าเงินบาทที่แข็งกระฉูดจะผันผวนกลับมา ‘ถูก’
กระฉูด #แดนลิเก #ความดักดานเป็นสิทธิส่วนบุคคล”
กานดา นาคน้อย @kandainthai
แจ้งไว้แล้ว
เหมือนที่ ‘โปรเฟสเซ่อ’
โฆษกรัฐบาล นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พูดแทนนาย (สไตล์ รปภ.เหมือนกัลล์) “เตือนน้ำประปาเค็ม-เลี่ยงดื่ม
แนะลดเติมเครื่องปรุงในอาหารช่วยอีกทาง” จากเหตุที่บ้านเมืองวนเข้าสู่รัชสมัยแล้งจัด
น้ำเขื่อนแห้งน้ำเค็มดันขึ้นมาแซม
“ทางการประปานครหลวงเองพยายามสูบน้ำดิบในช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ซึ่งหน่วยความเค็มเป็นหน่วย gram/liter ค่าที่เกิน
0.3g/l หรือ 300 ppm. จะเริ่มเป็นน้ำกร่อย...ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำประปาช่วงนี้
และแนะนำให้ใช้น้ำกรองผ่านระบบ RO
ด้วย นอกจากนี้ควรลดการเติมเครื่องปรุงรสให้น้อยลงในการใช้น้ำ
เพื่อปรุงอาหารอีกด้วย” birdy @Birdious1 เค้าเลยช่วยเสริม “หากน้ำเปรี้ยว
แนะนำให้เตรียมทำยำค่ะ #สวัสดี”
(หมายเหตุนอกเรื่อง #สวัสดี ตอนนี้ถูก แฮ้สแท็ก #สาวน่าน แซงไกล)
แต่รัฐบาลของ ลุง ไม่ได้นิ่งนอนใจแน่นอน สั่งการให้ “ผันแม่กลองมาเติมเจ้าพระยา”
แล้วนะตะเอง “หวังหน่วงน้ำเค็ม” แต่ก็ยังช่วยไม่ได้มากเท่าไหร่
เพราะ แฮ้สแท็กใหม่มาแรงมาก เนื่องจากไหนจะ
“อากาศมีฝุ่น พีเอ็ม ๒.๕ ประปามีเกลือ แล้ว ในสภายังมี ‘ลุง’ จนทำให้ #คุณภาพชีวิตติดลบ
(ขาประจำการ์ตูน ว่างั้น)