‘เลื่อน-ไม่เลื่อน’ เลือกตั้ง ถ้าจะว่าตามประสาพวกเลือดสีไม่แดง
(น้ำเงิน) อย่าง Chulcherm ยูกาลา “ไหนๆ ก็ทนรอกันมาได้
หากจะลงแดงตายกันก็ให้มันรู้กันไป” คงได้มั้ง เลื่อนเดือนสองเดือนไม่เท่าไรหรอก
ปัญหาอยู่ที่ว่าจะเอาตามใจทั่นอย่างเดียวมันไม่ไหว
ในภาพลักษณ์ทางสากล เพราะการอยู่ใน ‘ยุคกะลา’
มันน่าเกลียดน่าชังสำหรับพลโลกทั้งมวล จะทำเป็นไม้หลักปักขี้เลนเอนไปเอนมา ก็ ‘ครอบ’ ได้อย่างเก่งแค่ครึ่งๆ กลางๆ ของ ๖-๗ สิบล้าน
ตอนนี้ทั้งพระทั้งเจ้าเอากันใหญ่ เลือกตั้งก่อนวันพระราชพิธี
พระว่า “ถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ขณะที่ ‘เลือดเจ้า’ บอก “กกต.สมควรเลื่อนเลือกตั้งออกไปเป็นวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เสร็จสิ้น ซึ่งจะเป็นการเหมาะสมที่สุด”
“คำพูดเป็นนายของตัวเอง” สำคัญที่สุด แม้จะพริ้วได้อย่าง ‘ไอทู้บ’ ยังดีกว่า จุลเจิม Yugala อ้าง “รัฐบาล คสช. (ของประยุทธ์
จันทร์โอชา) เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่รับสนองงานพระราชพิธี...จนกว่าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะแล้วเสร็จ”
แค่เขาต้องการให้รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจของคณะทหารเป็นชุดสนอง
‘พระบรมราชโองการ’
อาจทำให้ “ประเทศไทยจะได้เริ่มศักราชแห่งสุวรรณภูมิแดนศรีวิไล”
แบบ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เจ้าของรังสิตโพล อ้างไว้
แต่ความเป็น ‘ศิวิไล’ ในความหมายของรากศัพท์
‘civilize’ (or ‘civilise’) หมายถึงความ “เจริญแล้ว พัฒนา
มีการศึกษา ขัดเกลาแล้ว และตาสว่าง” ตามนิยามแห่งพจนานุกรม
และในความทัดเทียมนานาประเทศราช
ดร.อาทิตย์ อ้างว่า “มิควรที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งทางการเมืองขึ้น
เพราะจะเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง แตกแยก และไม่สามัคคีปรองดองกัน” ฟังไม่ขึ้น
ในเมื่อการเลือกตั้งเป็นหน้าต่างของประชาธิปไตย (เหมือนผลแอ็ปเปิ้ลของดวงเนตร)
ทั้งๆ ที่อาทิตย์ยอมรับว่า “กฎเกณฑ์กติกาในการเลือกตั้งก็ยังไม่เป็นธรรมประชาธิปไตยเหมาะสมกับประเทศไทยดีพอ”
ก็ตามที ก็ในเมื่อคนที่เสียเปรียบ (พรรคการเมืองทั้งหลาย) เขายังฮึดสู้
ใจคอพวกที่ได้เปรียบจะกินทั้งยวง
มันไม่ตะกรามไปหน่อยหรือ
คราวนี้มาดูสิว่าวิชาพริ้วนักการเมืองสายตะหานเขาว่าไร “ทุกอย่างตนยังยึดและยืนยันตามโรดแมป
คือหลังจาก พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ ที่ผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๑ ธ.ค.๖๑ แล้วเราต้องนับไปอีก
๑๕๐ วันจะต้องให้มีการเลือกตั้ง”
คือวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ เป็นอย่างเร็วที่สุด
ถ้าอย่างช้าก็โน่นต้นถึงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งก็ตรงกับกำหนดงานราชาภิเษกพอดี ทางที่ควรต้องให้ก่อนพระราชพิธีฯ
จะดีกว่าหลังพระราชพิธี เพราะจะได้ไม่เลื่อนเป็นครั้งที่ ๖ ทำให้เสียสัตย์ชาติตะหาน
ที่ปฏิญานกันนักหนาต้อง ‘เสียชีพ’ แทน
ทั่นนายกฯ (คนที่ปากบอกไม่อยากเป็นต่ออีก
แต่ภาษากายเห็นระริกระรี้เหลือหลายกับการจะกลับมาเป็นนายกฯ ใหม่ โดยไม่ต้องลงเลือกตั้ง
ไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง แค่รอพวกพรรคลิ่วล้อเอาเสลี่ยงมาหาม)
ถึงได้ดิ้นปลิ้นไปได้
การเลือกตั้งนั่นไม่ใช่เรื่องของผม แต่ “เป็นเหตุเป็นผลของ
กกต.ซึ่งตนก็ยังไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง” ทว่าตนไม่วายแก้เกี้ยว “ขอให้ใจเย็นๆ
วันนี้อยู่กับฉันไปก่อน เธอจะรีบไปไหน” วันนี้ยังไม่ตัดสินใจจะลงสังกัดใด ถึงวันพรุ่งตัดสินใจเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
“ขอศึกษาดูก่อน
ตอนนี้อยากให้ประชาชนได้ศึกษาแนวทางของแต่ละนโยบายพรรคการเมืองก่อน
ไม่ใช่ดูเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ” อ้างอีกด้วย “บางทีกล่าวซ้ำกับสิ่งที่เราทำไปแล้ว
และเอาไปขยายในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้”
แกพูดถึงพรรคไหนสุดจะเดา แต่เอาเข้าจริงๆ
ก็ค่อนข้างชัดแหระว่าแซะใคร “เราก็ศึกษาดูว่านโยบายพรรคนี้เป็นไปได้หรือไม่
เช่นเรื่องจะให้ทุนการศึกษาจะได้หรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ตนเป็นรัฐบาลอยู่
ก็รู้ว่าการใช้จ่ายงบประมาณเป็นอย่างไร
ฉะนั้นถ้าเราพูดไปแล้วทำไม่ได้ อย่างนี้มันเสียหาย”
เข้าใจตรงกันนะ ประโยคท้ายเป็นเรื่องตัวเองจะเปิดหน้าเล่นเมื่อไร
ไม่ใช่เกี่ยวกับนโยบายการศึกษา แต่ถ้าเลือกตั้งจะเลื่อน-ไม่เลื่อน ถึงอย่างไรยังทำคู่ขนานกันไปได้กับราชาภิเษก
(https://www.facebook.com/100001454030105/posts/2121829471208833/ และ https://www.facebook.com/100001454030105/posts/2122021984522915/)
เป็นอัน ๒๔ กุมภา ท่าจะแน่ แต่พวกที่ออกมาวุ้ยว้ายให้เลื่อน
ไถ่ถามกันมาดีแล้วยังก่อนจะอ้าปากพ่น ถึงที่สุดก็ต้องยืมคำประยุทธ์
(คนละเรื่องแต่ความหมายเดียวกัน) นั่นละมาสยบ “ขอให้ซื่อสัตย์ต่อตัวเองกันหน่อยแล้วกัน”