“โอ้น้ำตาหรือจะแก้ปัญหาใจ”
เนื้อเพลงเก่าแก่ของ ศรวณี โพธิเทศ ซึ่งว่าถึงการพลัดพรากจากคนรัก
คงเอามาใช้กับการร้องไห้ของ สุเทือก ณ กปปส.ไม่ได้ ในเมื่อใครๆ
ก็เห็นว่านั่นเป็นการบีบน้ำตาอีกครั้งทางการเมืองของ ‘ลุงกำนัน’
เฉกเช่นที่ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตโฆษก
กปปส. เคยประกาศไว้ แล้วนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พ่อบุญธรรมของ ‘ขิง’ เองนำไปป่าวร้องโฆษณาบนหน้าเฟชบุ๊คของตน
“...เลิกร้องไห้
เล่นละครตบตาประชาชนได้แล้ว เลิกใช้ทักษะเดิมๆ ทำซํ้าแล้วซํ้าอีกเพื่อประโยชน์ทางการเมืองได้แล้ว
วันนี้ประชาชนมาไกลแล้วครับ
จับทางการโกหกกลอกลวงด้วยซีนร้องไห้ของคุณ...ได้มานานแล้ว”
(จากโพสต์ของ
Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ) เมื่อ December 10,
2013 ขออนุญาตคัดชื่อบุคคลที่เอกนัฏเอ่ยถึงออกไป
เพื่อไม่ให้ผู้พูดหน้าเปื้อนเหมือนแหงนหน้าถ่มล้ำลาย)
พลัน สกู๊ปข่าว Exclusive
ของไทยรัฐ ก็ ‘rises to the occasion’ เมื่อ ไทยรัฐออนไลน์ น. พาดหัวว่า “แปลกตรงไหน?
ร้องไห้เรื่องธรรมดา 'สุเทพ' หลั่งน้ำตา ไม่ใช่ครั้งแรก”
ซึ่งไทยรัฐเน้นจากถ้อยคำของนายสุเทพในงานเปิดตัวการจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย
หรือ รปช. ตัวย่อสื่อความหมายใกล้เคียงกับทั้ง คสช. และ รปภ. ที่ตีความตามใจสไตล์ศาลไทยจะได้ว่าเป็น
‘การ์ด คสช.’
ส่วนจะเหี้ยมเกรียมแบบการ์ด กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะหรือไม่ ไม่แน่ใจ
ไม่ต้องพูดถึงว่าสุเทือกตระบัดคำของตนเองเมื่อ
๒ ธันวา ๕๖ “จบงานนี้ผมไม่เป็นนักการเมืองอีกแล้ว” วันนั้นเวลาสองทุ่มครึ่ง
สุเทือกไม่ได้หลั่งน้ำตาพูดแต่ก็ทำให้ผู้ที่ตั้งใจฟังซึ้งใจเพราะตีบทแตก
“ไม่อยากให้ครหาว่าแพ้ข้างในออกมาเล่นข้างนอก
เมื่อชนะข้างนอกแล้วกลับไปข้างใน คนอย่างกำนันสุเทพจะไม่กลับไปเลือกตั้ง
ไม่ใช่คนแบบนั้น และไม่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกแล้ว”
ลุงกำนันไม่ได้ตระบัดสัตย์
(ทั้งหมด) เพราะป่านนี้ยังไม่กลับเข้าไป ปชป. ใครจะว่าจะเข้าไปยึดแล้วเห็นท่าจะยึดไม่ได้
เลยไม่เข้าก็ตามที และคงจะ “ไม่กลับไปเลือกตั้ง” ถ้าคำพูดของเขาที่ ม.รังสิต
ยังเชื่อได้ว่า “ผมจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง”
เพียงแต่เขาปาวารณา “จะไม่อยู่เบื้องหลัง” ในพรรค
รปช. นี้ “แต่ผมจะยืนเคียงข้าง...จะใช้รองเท้าคู่นี้เดินรณรงค์เชิญชวนประชาชนมาร่วมเป็นสมาชิกพรรค...จะเป็นส่วนหนึ่งของพรรคที่รักชาติ
รักแผ่นดินไทย”
ซึ้งไหมล่ะ มันคล้องจองกับที่นาย เอนก
เหล่าธรรมทัศน์ ว่าที่หัวหน้าพรรคพรรณนาถึงสรรพคุณของ รปช. ว่า “เราจะปฏิรูป
ไม่ปฏิวัติ ไม่โค่นล้ม ไม่ชิงชังใดๆ แต่เราจะทำการเมืองแบบรู้รักสามัคคี...
เราจะไม่เป็นลูกน้องใครทั้งสิ้น
เราจะเป็นพรรคของพลเมือง เป็นพลเมืองที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
และปกป้องสิ่งดีงามทั้งหมดที่เรารักและเทิดทูน”
แต่คำประกาศเคล้าน้ำตาของสุเทือกในครานี้
จะเป็นการตระบัดสัตย์ครั้งสุดท้ายตามคำวิงวอนของนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต
ส.ส. กทม.พรรคเพื่อไทยหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่จะคาดหวังอะไร
ในเมื่อแม้แต่กรณีที่สุเทพเคยพูดว่าจะตั้งพรรคการเมืองและสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง มีคลิปยืนยัน คนขุดขึ้นมาแชร์กันโจ้งๆ
ตลอดเดือนที่ผ่านมา นายสุเทพยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ได้ว่าแค่สนับสนุนเรื่องเป็นนายกฯ
ขณะนี้ ไม่ใช่เบื้องหน้า
มันไม่ได้เป็นการบังเอิญแต่อย่างใดที่นายสุเทพกลับคำพูด
กลืนเสลดของตนเองบ่อยครั้งจากการร่ำไห้ประกอบฉากการปราศรัย
โดยมุ่งหมายความได้เปรียบทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังเมื่อต้นปี ๕๗
ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการเรียกกองทัพออกมายึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์
โดน ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์
ที่ขณะนั้นรณรงค์ ‘I'm No.5’ แซะเอาว่า “อย่าร้องไห้สะอึกสะอื้นไปเลยคุณสุเทพ
กลับไปสุราษฎร์ฯ ดีกว่า อย่าเที่ยวเดินเชื้อเชิญแขกอีกต่อไปเลย
หากคุณสุเทพยังทำแบบนี้อยู่ก็จะต้องร้องไห้อีก และอาจจะต้อง ‘ร้องไห้ทั้งคืน’ อย่างที่คุณอภิสิทธิ์เคยร้องที่ราชประสงค์เมื่อหลายปีก่อนนั่นแหละ”
ฉันใดก็ฉันนั้น สถานการณ์เปลี่ยนไป
คนไม่เปลี่ยน ร้องไห้ทั้งคืนคนก็ยังคงตายกว่า ๙๐ โดยไม่มีใครรับผิดชอบ ทั้งๆ
ที่รู้ว่าใครบ้างที่มือเปื้อนเลือด คนที่ร้องไห้เก่งๆ ทั้งนั้น
คิดอีกที
น่าที่จะย้อนไปดูเนื้อเพลงของศรวณีอีกท่อน ที่ว่า “นี่หัวใจเขาคงใกล้จะเป็นยักษ์มาร
จึงคิดประหารผลาญชีวันด้วยการกระทำ” จับแพะชนแกะสื่อความ
(เฉพาะ) ตามตัวอักษร คงได้ว่า พวกยักษ์มารนี่ชอบเสแสร้งหลั่งน้ำตากันเป็นสันดาน