หุ้นส่วนใหญ่เครือโรงแรมเค็มปินสกี้เปลี่ยนมือจาก สนง.ทรัพย์สินฯ
ไปสู่ราชสำนักบาห์เรน
รายงานข่าวจากสื่อเยอรมัน ‘เว้ลท์’ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๖๐ เปิดเผยว่า “อำนาจเปลี่ยนมือในเครือโรงแรมเค็มปินสกี้
ราชสำนักของประเทศไทยยอมสยบหุ้นส่วนใหญ่ให้แก่กลุ่มเชคส์แห่งบาห์เรน
นี่เป็นการสิ้นสุดของช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนสำหรับเครือโรงแรมเก่าแก่ที่สุดในยุโรป”
(ต่อไปนี้เป็นถอดความจากภาคภาษาอังกฤษที่แปลโดยกูเกิ้ล
และภาคภาษาไทยที่ Junya Yimprasert กรุณาเรียบเรียงไว้บนหน้าเฟชบุ๊คของเธอ
มันเป็นการเปลี่ยนมือชนิดไม่ธรรมดา
ซึ่งเกิดขึ้นในในโลกที่ปกปิดของสองราชสำนักอันมีมูลค่านับพันๆ ล้าน
เครือโรงแรมหรูเค็มปินสกี้มิได้อยุ่ภายใต้การบริหารจัดการของราชสำนักไทยอีกต่อไป
ราชอาณาจักรบาห์เรนเข้ามาแทนที่ในฐานะหุ้นส่วนใหญ่ของเค็มปินสกี้ เอจี
อันมีสำนักงานกลางอยู่ในนครมูนิค
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ของไทย ถือหุ้นใหญ่ ๘๕
เปอร์เซ็นต์มาเป็นเวลา ๑๓ ปี โดยมีบาห์เรนเป็นฝ่ายข้างน้อย บัดนี้ไทยกับบาห์เรนได้ทำการสลับเปลี่ยนสถานะต่อกัน
โฆษกหญิงของเค็มปินสกี้เผยว่ายังไม่มีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนมือนี้
นี่เป็นเรื่องไม่น่าแปลกอะไรนัก
กิจการส่วนใหญ่ของโรงแรมมักเป็นการเช่าช่วง
ตามรายละเอียดข้อมูลของโรงแรมเอง
เค็มปินสกี้ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าอิสระที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป
มีลักษณะพิเศษหลายอย่าง ในทศวรรษ ๑๙๙๐
เครือข่ายได้ขายโรงแรมที่เป็นทรัพย์สินของตนออกไปจำนวนมาก
ขณะนี้มีโรงแรมเดียวที่กลุ่มเป็นเจ้าของ คือ เวียร์ จาเรสซีเต็น ในเมืองมูนิค
กลุ่มเค็มปินสกี้เช่าซื้อโรงแรมไว้สองสามแห่ง เช่นโรงแรม
แอ็ดลอน ในกรุงเบอร์ลิน ซึ่งเช่าไว้จนถึงปี ค.ศ. ๒๐๓๒ ค่าเช่าจนถึงขณะนี้อยู่ที่
๒๕๕ ล้านยูโร สำหรับโรงแรมส่วนใหญ่ในเครือเป็นเพียงการทำสัญญาเข้าไปบริหารจัดการ
เพียง ๗๕ โรงแรมใน ๓๐ ประเทศ
เค็มปินสกี้เป็นเพียงผู้ดำเนินการโรงแรมหรูกลุ่มเล็กๆ
ไม่อาจนำไปเทียบเคียงกับเครืออุตสาหกรรมโรงแรมขนาดยักษ์ อย่างแมริอ็อตและสตาร์วู้ด
ที่เพิ่งประกาศรวมกันเป็นกลุ่มเดียวเมื่อสิ้นปี ๒๕๕๘ โดยมีจำนวนโรงแรมทั้งหมด
๕,๕๐๐ แห่ง จำนวนห้อง ๑.๑ ล้าน หรือกลุ่มฮิลตันที่มี ๑๓ ยี่ห้อ ๔,๘๒๐ โรงแรม
อันมีบรรษัทลงทุนทางการเงิน แบล็คสโตน เป็นหุ้นส่วนใหญ่
มันเป็นความลับที่ใครๆ ก็รู้กันดีว่า
เค็มปินสกี้เป็นเป้าของการกว้านซื้อกิจการจากพวกเครือยักษ์ใหญ่ กระนั้นก็ดีเครือเค็มปินสกี้ที่เพิ่งฉลองครบรอบ
๑๒๐ ปีไปหมาดๆ ต้องการรักษาบทบาทพิเศษของตนเอาไว้
แม้ว่าจะได้มีการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นจำนวนมากที่สุดจากไทยไปบาห์เรนแล้ว
หุ้นส่วนทั้งสองก็ยังปักหลักถือมั่นให้ความสำคัญกับเค็มปินสกี้และความสำเร็จระยะยาวของเครือข่ายนี้
ตามที่เอกสารแถลงการณ์ระบุ
จากการปรับใหม่ที่ทางอำนาจในเค็มปินสกี้
หุ้นส่วนหลักทั้งสองได้ทำให้ความสับสนวุ่นวายภายในตลอดสองปีที่ผ่านมายุติลง
การเปลี่ยนแปลงประวัติการณ์ของเครือเค็มปินสกี้นี้ทำให้ดูเหมือนว่า
ความมั่นคงแน่นอนระยะยาวได้เริ่มขึ้นแล้ว
ช่วงเวลาปั่นป่วนภายในกลุ่มผู้บริหาร
ความระส่ำระสายครั้งที่แล้วเกิดจากการที่กรรมการอำนวยการเก่าแก่คนหนึ่ง
รีโต วิตเวอร์ ต้องออกไปในสถานการณ์ที่ยากจะอธิบายเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๗
หลังจากที่เกิดยุทธการสาดโคลนกันขนานใหญ่เกี่ยวกับการจ่ายเงินผิดประเภทก้อนหนึ่งจำนวน
๑ ล้านดอลลาร์โดยหัวหน้าคนก่อน แม้ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนเองก็อยู่ได้ไม่นาน
จึงมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการอำนวยการกำกับดูแลขึ้นอย่างกระทันหัน
ในฤดูใบไม้ผลิปี ๒๕๕๙ มาร์กัส ซีเมอร์ ชาวเยอรมันเข้าไปเป็นประธานบริษัท
ในการประชุมที่กรุงเบอร์ลินเมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้ว
เขาบอกว่าเค็มปินสกี้ไม่เปิดสำหรับให้ใครซื้อ “พวกเขาพยายามจะสอยเรา
แต่เราก็ไม่ยอมขาย” ประธานคนใหม่วัย ๔๐ ปี กล่าว
ซีเมอร์เป็นความได้เปรียบของเค็มปินสกี้ที่จะแข่งขันกับใครๆ
ในฐานะผู้บริหารเครือข่ายอิสระโรงแรมหรูระดับสูงในยุโรปหลังการเปลี่ยนมือ
อับดุลลาห์ ฮ. ซาอิฟ อดีตรัฐมนตรีคลังและที่ปรึกษาของกษัตริย์แห่งบาห์เรน
ได้รับการแต่งตั้งขึ้นกรรมการอำนวยการกำกับดูแลคนใหม่
ถ้าต้องการทราบรายละเอียดรายได้และผลกำไรจากประกอบการ
กรุณาหาดูได้จากกระทรวงการคลัง (เยอรมนี) รายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่เกณฑ์
๑๗๙ ล้านยูโร ในปี ๒๕๕๘ และกำไรสุทธิอยู่ที่ผลประกอบการพิเศษ ๑๔.๗ ล้านยูโร
สำหรับเค็มปินสกี้ เอจี แกนกลางของบรรษัท ปริมาณขายจะลดลงเหลือ
๑๑.๓ ล้านยูโร ในรายงานของปี ๒๕๕๘ เมื่อโรงแรมเค็มปินสกี้ สนามบินมูนิค
ออกไปจากเครือข่าย และที่โรงแรมแอ็ดลอนในเบอร์ลิน ผลประกอบการขาดทุน อยู่ที่ ๑.๑
ล้านยูโร ในรายงานของปี ๒๕๕๘