"คุกไทยมีไว้ขังคนจน"
มีชายคนหนึ่งได้พิสูจน์เรื่องนี้ให้ทุกคนเห็น โดยแลกกับ"อิสรภาพอันประเมินค่ามิได้"ของตนเอง
--------------------------
4 ก.ค.2550 “หมูแฮม”-กัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ ได้ใช้ก้อนหินทุบใบหน้าสถาพร อรุณศิริ พนักงานขับรถโดยสาร สาย 513 และขับรถเบนซ์ พุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนบนทางเท้า รวมถึงสายชล หลวงแสง พนักงานเก็บเงินรถเมล์สายดังกล่าวเสียชีวิต หลังไม่พอใจที่รถเมล์ขับปาดหน้าให้หยุดบริเวณปากซอยสุขุมวิท 26
ญาติอ้างว่า หมูแฮมมีสติฟั่นเฟือน ต้องได้รับการรักษา แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่น่าเชื่อว่ามีสติฟั่นเฟือน และมีอาการเกร็งขณะเกิดเหตุ จึงถือว่ากระทำผิดตามฟ้อง เมื่อเดือนม.ค.2552 ศาลจึงตัดสินให้จำคุกหมูแฮม 15 ปี 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่จำเลยรับสารภาพและให้การเป็นประโยชน์ จึงเห็นควรลดโทษลง 1 ใน 3 เหลือจำคุก 10 ปี 1 เดือน
นอกจากนั้น ให้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เป็นเงิน 8 แสนบาท และ 1 แสนบาท ตามลำดับ และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียชีวิตรายละ 2 ล้านบาท แต่กัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ และสาวิณี ปะการะนัง พ่อแม่ของหมูแฮมได้วางประกัน 5 ล้านบาท ระหว่างยื่นอุทธรณ์คดี [http://hilight.kapook.com/view/33370]
มี.ค. 2556 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ลดโทษ “หมูแฮม” เหลือคุก 2 ปี 1 เดือน เพราะเชื่อว่ามีจิตบกพร่อง โทษจำคุกจึงให้"รอลงอาญา"ไว้
[http://m.thairath.co.th/content/330509]
----------------------------
27 ธ.ค.2553 “นักศึกษาสาว วัย 17 ปี” ขับรถยนต์ซีวิคพุ่งชนรถตู้โดยสารบนทางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ ด้วยนักศึกษารายนี้นามสกุล “เทพหัสดิน ณ อยุธยา” จึงถูกสังคมตั้งคำถามเรื่องอิทธิพลในการวิ่งเต้นคดี โดยเวลาการพิจารณาคดียุติเมื่อ 31 ส.ค.2555 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พิพากษาจำเลยฐานความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์
ทั้งนี้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทำให้ทรัพย์สินเสียหายเป็นเวลา 3 ปี คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี(ภายหลังแก้เป็น 4 ปี) คุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน ให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ช.ม. และห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์
[http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9550000107246]
----------------------------
3 ก.ย.2555 “บอส” วรายุทธ อยู่วิทยา ลูกชายเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดง ขับเฟอร์รารี่ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป. สน.ทองหล่อ เสียชีวิตคาที่ช่วงเวลา 05.30 น. บริเวณซอยสุขุมวิท 47
ผ่านไป 1 วัน พล.ต.ท.คำรณวิทญ์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. กล่าวว่า คดีนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน คดีจบแล้วเพราะผู้ต้องหาตัวจริงรับสารภาพ
ก่อนที่ ผบช.น.จะพูดจาหนักแน่นเช่นนี้ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ นามเมือง สวป.สน.ทองหล่อ ได้นำ “สุเวศ หอมอุบล” พ่อบ้านของตระกูลอยู่วิทยาเข้ามอบตัวแทน “บอส” ที่ สน.ทองหล่อ ทั้งที่ ด.ต.วิเชียร ที่เสียชีวิตคือลูกน้องของพ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ ทั้งนี้เพราะ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณคือตำรวจที่เข้านอกออกในบ้านอยู่วิทยา อาคารหรู 6 ชั้นในซอยสุขุมวิท 53 นั่นเอง ซึ่งก็ถูกผบช.น.สั่งเด้งฟฟ้าผ่าทันที
24 ก.ย. 2556 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ได้มีการโพสต์ข้อความโดยอ้างว่านายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ผู้ต้องหากรณีขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต และอัยการเจ้าของคดีกล่าวว่าจะมีการออกอนุมัติออกหมายจับนายวรยุทธ เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนี และอ้างว่าป่วยอยู่ที่สิงคโปร์ ได้เดินทางกลับจากสิงคโปร์ถึงประเทศไทยแล้ว โดยไม่มีหมายจับ ทำให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไม่สามารถจับกุมตัวได้ และต้องปล่อยให้เข้าประเทศไทย [http://news.sanook.com/1237222/]
ต้นปี 2558 ที่ผ่านมา รายการ"เรื่องนี้ถึงไหน"ทางTNNทำสกู๊ปเรื่องนี้ สอบถามไปยังสนง.อัยการสูงสุด แจ้งเพียงว่า "อยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของจำเลย"
[https://www.youtube.com/watch?v=rIFLepN3FuE]
-----------------------------
27 พ.ค. 2558 ตำรวจนำตัว "เจเจ" ณัฐพล เข็มเงิน ศิลปินอิสระ(วงDrunkAllDay)ชาวสุพรรณบุรีซึ่งถูกจับข้อหา"พ่นสีสเปรย์ใส่ป้ายศาลอาญา"
มาแถลงข่าวผ่านสื่อทุกช่อง ด้วยฝ่ายความมั่นคงต้องการเชื่องโยงกับคดีความมั่นคงอื่นๆ แต่เจ้าตัวยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ
ในวันเดียวกันนั้น มีการ"พิพากษา"คดีละเมิดศาล"ทันที" โดยนิติกรชำนาญการพิเศษศาลอาญาขอให้ไต่สวนผู้ต้องหา โดยนายสุนันท์ นาคะรับมอบอำนาจจากผู้อำนวยการศาลอาญา แถลงต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศาลอาญาว่ามีบุคคลใช้สีสเปรย์ พ่นที่ป้ายศาลอาญา 2 จุด คล้ายกับสัญลักษณ์ต่อต้านอำนาจรัฐ ทำให้ป้ายศาลอาญาได้รับความเสียหาย และเป็นการประพฤติไม่เรียบร้อยบริเวณศาลอาญาซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะผู้ก่อเหตุ คือนายณัฐพล กระทำการดังกล่าวอาจมีมูลความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
นายณัฐพล เบิกความต่อศาลยอมรับว่า เป็นผู้ฉีดพ่นสเปรย์ที่ป้ายศาลอาญาจริง โดยในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณเที่ยงคืนเขาเดินออกมาจากห้องพักซอยรัชดาภิเษก 32 และนำกระป๋องสีสเปรย์ติดตัวมาด้วย จากนั้นก็ได้พ่นสีเปรย์ที่สะพานลอยบริเวณปากซอยเป็นสัญลักษณ์รูปตัวเอและมีวงกลมล้อมรอบแบบเดียวกับที่พ่นบนป้ายศาลอาญา จากนั้นก็เดินมาพ่นสีที่ป้ายศาลอาญา สัญลักษณ์ที่ฉีดพ่นนั้นเป็นสัญลักษณ์ของวงดนตรีต่างประเทศ ไม่ได้ต้องการสื่อความหมายใดๆ และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ส่วนสาเหตุที่พ่นสีสเปรย์ใส่ป้ายศาลนั้นเนื่องจากมีความรู้สึกคับแค้นใจเพราะรุ่นพี่ที่รู้จักกันถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิต และอยู่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลทหาร แต่ไม่ได้รับทราบความคืบหน้า จึงกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ทราบว่าจะมีความผิดรุนแรงขนาดนี้ แต่ก็น้อมยอมรับผิดและยินดีช่วยทำความสะอาดศาลอาญาหรือบำเพ็ญประโยชน์
ต่อมาศาลพิพากษาโดยให้เหตุผลว่า เชื่อได้ว่านายณัฐพล ผู้ถูกกล่าวหาได้นำสีสเปรย์สีดำฉีดทับป้ายหลังข้อความศาลอาญาซึ่งป้ายดังกล่าวถือเป็นทรัพย์สินของราชการและป้ายดังกล่าวยังอยู่ในบริเวณศาล การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการผิดกฎหมายและยังเป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสม บริเวณศาล ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 (1) ให้จำคุก 1 เดือน แต่ทางไต่สวนศาลเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้สำนึกผิด ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 1 ปี(จำเลยสารภาพตลอดข้อกล่าวหาไม่ขอสู้คดี และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน) ให้รายงานตัว 4 ครั้ง พร้อมคุมประพฤติ
--- จบคดีแรก"ละเมิดศาล"
...แต่ศาลยังสั่งคุมขังไว้ในอีกคดีหนึ่ง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360, พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 12, 35, 54 และ 56 ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน สามารถติดตามจับกุมตัวได้ อุ้มเข้าค่ายทหารไปสองวันก่อนและจำเลยให้การรับสารภาพโดยตลอด และเพื่อนๆได้รวบรวมเงินมาประกันตัวได้ในคืนวันที่ 28 พ.ค แต่คดียังคงเดินต่อไป
ล่าสุดวันนี้ (14 กรกฎาคม 2558) ศาลอาญานัดสอบคำให้การ นายณัฐพล จำเลย คดีหมายเลขดำ อ.2342/58 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานทำให้เสียหาย ทำลาย หรือทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ขูด ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดซึ่งความเสียหายแก่สาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ศาลได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังจนเข้าใจ แล้วสอบถามปรากฏว่า จำเลยให้การรับสารภาพผิดไม่ขอต่อสู้คดี
ดังนั้นศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง จึงสั่งจำคุก 2 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา (เพราะเคยกระทำความผิดมาก่อน ---> ซึ่งก็คือคดีละเมิดศาลจากการกระทำเดียวกันกับคดีที่สองนี้นั่นเอง)
สรุป กระทำผิด 1 กรรม (ทำความผิดครั้งเดียว) ถูกดำเนินคดี 2 คดี
คดีแรก"ละเมิดศาล" ศาลให้รอลงอาญา เพราะจำเลยสำนึกผิดไม่ขอต่อสู้คดีและไม่เคยทำความผิดมาก่อน
คดีสอง"พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 12, 35, 54 และ 56" ศาลให้ ลดโทษกึ่งหนึ่ง(จากจำคุก2ปีเหลือ1ปี) แต่ไม่รอลงอาญา เพราะจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน (ในคดีแรกที่เป็นกระทำเดียวกัน)จึงไม่มีเหตุลดหย่อนโทษเพิ่ม
ในคลิปแถลงข่าว[https://www.youtube.com/watch?v=L7qO-8dDIQw] เจเจตัดพ้อถึงสังคมที่ไม่เป็นธรรมมองคนไม่เท่ากัน รวมถึงความไม่ยุติธรรมในคดีที่รุ่นพี่ของตนถูกทหารยิงแล้วหลบหนีเข้าราบ11 คดีอยู่ในศาลทหารแล้วก็หายเงียบไป จึงทำให้ตนออกมากระทำการดังกล่าวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้รุ่นพี่ของตนและชักชวนให้ฟังเพลง"นรกคนจน"ของวงตนเอง
[https://www.youtube.com/watch?v=YGMlRlYstk0]
เรียบเรียงข้อมูลคดี"เจเจ สเปร์กระป๋อง" จาก
http://prachatai.org/journal/2015/05/59530
http://prachatai.org/journal/2015/07/60355
สุดท้ายฝากถึงกระบวนการยุติธรรมไทยนะครับ
การกระทำเดียวกัน 1 กรรม แต่ถูกแยกเป็น 2 คดี คดีแรกรอลงอาญา คดีที่สองไม่รอลงอาญา เพราะอ้างว่าเคยกระทำความผิดมาก่อน(จากคดีแรก)
แต่เดี๋ยวก่อน!!!
คดีแรกกับคดีที่สอง มันการกระทำเดิมเดียวกันมิใช่หรือ!!
"มันกลับหลักอะไรไปรึปล่าว?"
ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับเขาเป็นการส่วนตัว แต่รับรู้เรื่องราวนี้มาแล้วมันอึดอัด เขาไม่ควรถูกขัง จากการกระทำความผิดครั้งเดียวแต่แยกฟ้องสองคดี และยิ่ง"เจตนา"ที่เขากระทำด้วยแล้ว "เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้รุ่นพี่ที่ถูกทหารยิงแล้วคดีเงียบหาย"
และเลือกใช้การพ่นสเปรย์นั่นเป็น"สันติวิธี"และเป็นเรื่องปกติอย่างนึงของ"ชาวอนาคิส"เสียด้วยซ้ำ ย่อมมิใช่การทุบทำลายหรือโยนระเบิด นั่นเพียงพอแล้ว ที่จะชี้เจตนา ว่าเขาเพียงต้องการความเป็นธรรมอย่างสันติ ไม่ใช่ทำลายล้างฆ่าแกงใคร
ปล่อยเขาออกมาเถอะครับ เขาไม่ได้เป็นภัยอะไรกับความมั่นคงของพวกคุณหรอก... เขาแค่อยากเห็นความเป็นธรรมในสังคมที่คนทุกคนควรได้รับอย่างเท่าๆกัน
Nithiwat Wannasiri
|