จากบทความเรื่อง "คอร์รัปชั่นต้องประหารชีวิตและเอาผิด
จนท. องค์การระหว่างประเทศ?" โดย ชำนาญ จันทร์เรือง
“มาตรา 123/2
ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ
เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง
ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต”
ม. 13 พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2558 (ฉบับที่ 3)
จากการที่ได้มีการประกาศใช้
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2558 (ฉบับที่
3) เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาสำคัญที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากเดิมที่น่าสนใจหลายประการ
อาทิ การบัญญัติให้มีโทษประหารชีวิตและการปรับแก้เนื้อหาให้ครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ
ฯลฯ และได้มีกรรมการของ ป.ป.ช.และเลขาธิการฯได้ออกมาแสดงความเห็นเพื่ออธิบายเพิ่มเติมว่าเป็นการแก้ไขให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against
Corruption 2003) ไปแล้วนั้น ผมเห็นว่า
เป็นกล่าวอ้างที่คลาดเคลื่อนและไม่สอดรับกับเจตนาของอนุสัญญาฯแต่อย่างใด
ประเด็นการบัญญัติให้มีโทษประหารชีวิต
หลายคนอาจจะชอบใจหรือสะใจที่มีโทษแรงขึ้นเพราะเข้าใจไปว่ายิ่งโทษแรงคนจะยิ่งเกรงกลัว
การกระทำผิดก็ย่อมจะน้อยลง แต่ในความเป็นจริงแล้วประเทศต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในด้านสิทธิมนุษยชน
โดยมีแต่จะยกเลิกโทษประหารชีวิตกันทั้งนั้น เพราะเราไม่สามารถยืนยันได้ว่ากระบวนการเอาตัวคนผิดมาลงโทษจะบริสุทธิ์ยุติธรรม
100 เปอร์เซ็นต์ และโทษประหารชีวิตเป็นการลงโทษที่โหดร้ายทรมานและไร้มนุษยธรรม แต่ของเรากลับถดถอยหรือมีพัฒนาการไปในทางตรงกันข้าม
ผมเห็นด้วยว่าผู้ทุจริตคอร์รัปชั่นต้องถูกลงโทษ แต่ไม่ใช่ลงโทษด้วยการประหารชีวิต
เพราะมันไม่เข้ากับหลักว่าด้วยสัดส่วนของโทษกับความผิด กอปรกับ พ.ร.บ.ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้เป็นการออกกฎหมายที่ค่อนข้างเร่งด่วนและไม่ได้รับฟังความเห็นกว้างขวาง
เพราะกระบวนการเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ
ไม่ได้มีแค่กระบวนการลงโทษทางอาญาหรือความผิดทางอาญาเพียงอย่างเดียว
มีประเด็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สังคมวิทยา ประเด็นแรงจูงใจ
ประเด็นเรื่องกฎระเบียบซึ่งไม่รอบคอบ กระบวนการตรวจสอบที่ไม่ได้ผลหรือมีข้อบกพร่อง
จึงต้องบูรณาการทั้งระบบ
ปกติแล้วการลงโทษตามหลักอาชญาวิทยาต้องมีการลงโทษเพื่อให้เป็นการแก้ไขฟื้นฟู ไม่ใช่เป็นการ แก้แค้นทดแทน
ไม่มีบทพิสูจน์ใดๆ
เลยว่าการลงโทษประหารชีวิตจะเป็นการป้องกันหรือป้องปรามไม่ให้คนทำความผิด อีกทั้งมีการวิจัยเชิงวิชาการรองรับมากมายว่า
หลายๆ ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว
สถิติอาชญากรรมก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลที่สนับสนุนความเห็นที่ว่าการประหารชีวิตไม่ช่วยในการป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชันดีขึ้นอีกข้อมูลหนึ่งก็คือ
ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นประจำปี 2014 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ(Transparency
International) ซึ่งประเทศที่มีภาพลักษณ์ดีลำดับต้นๆเช่น
นิวซีแลนด์,ฟินแลนด์,สวีเดนและนอร์เวย์ (อันดับ 2-5 ส่วนไทยเราอยู่ในลำดับที่ 85)
นอกจากจะไม่นำโทษประหารชีวิตมาใช้กับคดีทุจริตแล้ว
ยังยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตในทุกกรณีอีกด้วย ส่วนเดนมาร์กที่อยู่ในลำดับที่ 1
นั้นไม่มีการลงโทษประหารชีวิตอย่างเด็ดขาดมาตั้งแต่ปี 1950 แล้ว
ในทางกลับกันประเทศที่มีการใช้โทษประหารชีวิตในคดีทุจริตกลับมีคะแนนความโปร่งใสอยู่ในลำดับที่ไม่ดีเลย
เช่น จีนอยู่ในลำดับที่ 100, อินโดนีเซียอยู่ในลำดับที่ 107,
อิหร่านอยู่ในลำดับที่ 136 ฯลฯ ฉะนั้น การอ้างโทษประหารชีวิตว่าจะช่วยป้องกันและกำจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงฟังไม่ขึ้น
ที่สำคัญก็คือในประเด็นนี้ไม่มีเนื้อหาของบทบัญญัติใดในอนุสัญญาของสหประชาชาติฯฉบับนี้ที่กล่าวถึงการกำหนดให้มีโทษประหารชีวิตเลยแม้แต่ข้อความเดียว
ประเด็นการกำหนดเขตอำนาจให้รวมถึงเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ
ในประเด็นนี้น่าจะเป็นการตีความที่ผิดพลาดหรืออาจเป็นการจงใจให้ตีความเกินเลยจากอนุสัญญาฯ
เพราะต้นฉบับเดิมใน Article 2. Use of terms ข้อ
(c) บัญญัติไว้ว่า
(c)”Official
of a public international organization” shall mean an international civil
servant or any person who is authorized by such an organization to act on
behalf of that organization ;
ซึ่งสามารถถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า
“เจ้าหน้าที่ขององค์การภาครัฐระหว่างประเทศ” หมายถึง
เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนระหว่างประเทศหรือบุคคลใดซึ่งได้รับมอบอำนาจจากองค์การระหว่างประเทศนั้น
ให้ปฏิบัติหน้าที่ในนามขององค์การระหว่างประเทศดังกล่าว (public=ภาครัฐ-ผู้เขียน)
ฉะนั้น
การบัญญัติว่า “เจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ”ซึ่งสามารถตีความไปถึงองค์การเอกชนระหว่างประเทศด้วย
จึงเป็นการบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมาจากความหมายเดิมของอนุสัญญาฯ ซึ่งจะหมายความเพียงเฉพาะ
“เจ้าหน้าที่ขององค์การภาครัฐระหว่างประเทศ”เท่านั้น ซึ่งหมายถึงเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่องค์กรของรัฐทั้งหลายรวมกันจัดตั้งขึ้น
เช่น สหประชาชาติ, อาเซียน, นาโต ฯลฯ เท่านั้น
ซึ่งไม่รวมไปถึงองค์การระหว่างประเทศที่เป็นของเอกชน เช่น แอมเนสตี้
อินเตอร์เนชั่นแนล, ฮิวแมนไรท์วอซ์ท, โรตารี, ไลอ้อนส์ ฯลฯ
กล่าวโดยสรุปก็คือการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นไม่ได้ผลเพียงเพราะการมีโทษประหารชีวิต
หรือการเพิ่มเติมความหมายของคำนิยามให้กว้างขวางขึ้นโดยการแก้ไขกฎหมายอย่างเร่งด่วนและไม่รอบคอบเช่นนี้
สมควรที่จะต้องมีการทบทวนโดยการมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้องจากหลายฝ่าย ทั้งจากหลายมุมมอง
ทั้งฝ่ายเศรษฐกิจ สังคมวิทยา แรงจูงใจ การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ
องค์กรตรวจสอบ กระบวนการยุติธรรมธรรม ฯลฯ
มิใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ
ป.ป.ช.ในการเสนอกฎหมายแต่เพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้
-------------
หมายเหตุ
เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่
22 กรกฎาคม 2558