วันเสาร์, กรกฎาคม 18, 2558

'ยกเลิกขั้ว สลายสี' กับหลักกำปั้น ๕ ข้อ 'ประชาธิปไตยใหม่'



จากบทความเรื่อง หลักการกำปั้น 5 ข้อของขบวนการประชาธิปไตยใหม่โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข” ฉบับวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2558

การจับกุมนักศึกษา 14 คนที่เคลื่อนไหวในนาม “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ขึ้นศาลทหารด้วยข้อหาขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) และป.อาญา ม.116 กับการเคลื่อนไหวของประชาชนหลายกลุ่มเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาทั้งหมด นับเป็นการประลองกำลังกันครั้งแรกระหว่างระบอบรัฐประหารกับประชาชน ที่มีปัญญาชนกลุ่มหนึ่งเป็นหัวหอก

“ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” (New Democracy Movement – NDM) ประกาศตัวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2558 โดยเครือข่ายองค์กรนักศึกษาจากภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ ร่วมกับองค์กรชาวบ้าน รวม 20 องค์กร ชูหลักการกำปั้น 5 ข้อ ได้แก่ “ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม การมีส่วนร่วม สันติวิธี” โดยในวันนั้นมีการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ด้วยการนำผ้าลายพรางติดบนแท่นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในตัวเมืองจังหวัดขอนแก่น

จุดประสงค์ในการจับกุมนักศึกษาก็คือ ต้องการที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มหนึ่งด้วยการดำเนินคดีในศาลทหารเพื่อป้องกันไม่ให้ขยายวงและ “ยกระดับ” เป็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชนขนาดใหญ่ แต่นักศึกษาทั้ง 14 คนกลับไม่ยอมรับข้อกล่าวหาและไม่ประกันตัว พร้อมกับเดินเข้าสู่เรือนจำ เอาอิสรภาพของตนเองเป็นเดิมพัน กระตุ้นให้ปัญญาชนส่วนที่ก้าวหน้าออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนและเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษา โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง

ปรากฏว่าในช่วงคุมขังนาน 12 วัน การเคลื่อนไหวได้ “ขยายวง” ออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด ศาลทหารได้ยกคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม เป็นผลให้นักศึกษาทั้ง 14 คนได้รับการ “ปล่อยตัวชั่วคราว”

ในการประลองกำลังครั้งแรกนี้ ฝ่ายอำนาจรัฐเพียงแต่ “อ่อนข้อ” ให้เท่านั้น แต่สำหรับฝ่ายประชาธิปไตยแล้วกลับมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ

นี่เป็นเครื่องหมายว่า ขบวนการนิสิตนักศึกษาปัญญาชนแม้จะยังมีขนาดเล็กและมีการเคลื่อนไหวในขอบเขตจำกัด ได้มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ยกระดับไปเป็นขบวนประชาธิปไตยที่ตกผลึกทางความคิดอันชัดเจน และมีฐานสนับสนุนจากมวลชนจำนวนหนึ่ง

“ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” เมื่อเริ่มแรกก่อตั้งนั้นเป็นการรวมตัวกันของนักศึกษาภูธรจากทั้งสี่ภาค ที่เคลื่อนไหวต่อสู้ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลายาวนานภายใต้รัฐบาลชุดต่างๆ ร่วมกับประชาชนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการใช้ประโยชน์ทรัพยากรโดยรัฐและเอกชน

แต่ภายหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 การต่อสู้ในประเด็นทรัพยากรทั้งโดยนักศึกษาและประชาชนกลับถูกกดดันอย่างหนักยิ่งกว่าในอดีต คู่ขัดแย้งของพวกเขาได้ยกระดับจากบริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐท้องถิ่น ไปเป็นรัฐประหาร ทำให้พวกเขาเข้าใจแจ่มชัดว่าปัญหาแย่งชิงทรัพยากรกับปัญหาประชาธิปไตยนั้นไม่อาจแยกขาดจากกันได้ การแก้ไขปัญหาประชาชนที่ถูกกระทบและการจัดสรรการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมนั้น ต้องมีประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไขเบื้องต้น

ความรับรู้ของพวกเขาได้ยกระดับจากประเด็น “ความเป็นธรรม” ซึ่งเดิมมีเพียงมิติทางเศรษกิจและสังคมแยกขาดจากปริบททางการเมือง ไปสู่ประเด็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกทางการเมือง รวมทั้งการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพนั้นจากการละเมิดโดยอำนาจที่ไม่เป็นธรรม นี่คือ หลักการกำปั้นข้อแรกว่าด้วย “ประชาธิปไตย”

การต่อสู้ร่วมกับประชาชนในพื้นที่มายาวนานทำให้นักศึกษาเหล่านี้ตระหนักว่า แม้ในบางเวลาที่สังคมไทย “ดูเหมือนมีประชาธิปไตย” อยู่บ้าง แต่ประชาชนชาวบ้านไม่ว่าเวลาใดกลับถูกปฏิบัติเยี่ยง “ต่ำชั้นมนุษย์” ทั้งจากผู้ปกครอง ข้าราชการ กระทั่งจากคนชั้นกลางในเมืองอยู่เสมอ ฉะนั้น “ประชาธิปไตยในทางรูปแบบ” เท่านั้นยังไม่เพียงพอ

แต่จำต้องมีการเคารพและปกป้องในสิทธิความเป็นคนให้กับแม้คนที่ด้อยสถานะอย่างที่สุดในด้านทรัพย์สิน อาชีพ คุณวุฒิการศึกษา ชาติตระกูล นี่คือ หลักการกำปั้นข้อที่สองว่าด้วย “สิทธิมนุษยชน”

ประสบการณ์ของพวกเขาและประชาชนที่ต่อสู้ในประเด็นทรัพยากรมายาวนาน ประกอบกับผลจากรัฐประหาร 2557 ที่ใช้อำนาจรัฐบังคับให้ “คำสั่ง” ของตนเป็น “กฎหมาย” บังคับกระทำต่อผู้คนในวงกว้างโดยปราศจากหลักนิติรัฐ นิติธรรม ได้แสดงให้เห็นถึงรากฐานสำคัญของปัญหาว่าอยู่ที่การขาดซึ่งความยุติธรรมในระบบสังคมการเมืองไทย การใช้กฎหมายเลือกกระทำต่อประชาชนคนด้อยสถานะและคนที่เห็นแตกต่างจากอำนาจรัฐ แต่กลับใช้กฎหมายปกป้องคุ้มครองเหล่าชนชั้นอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ทางธุรกิจของพวกเขา

ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษชนที่เป็นจริงในทางปฏิบัติและส่งผลเป็นการคุ้มครองประชาชนผู้ด้อยฐานะอย่างแท้จริงได้นั้น ต้องการหลักการกำปั้นข้อที่สามว่าด้วย “ความยุติธรรม”

แต่ทว่า ทั้งประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความยุติธรรมนั้น ไม่ใช่ได้มาด้วย “ความเมตตาสงสาร” ของผู้ปกครองหรือของชนชั้นอภิสิทธิ์ หากแต่ต้องด้วยการดิ้นรนต่อสู้ของประชาชนเองที่ตระหนักในสิทธิความเป็นคนและเสรีภาพของตน ก้าวเข้ามาช่วงชิงและยึดครองพื้นที่ทางการเมืองของตนในสถานะเท่าเทียม

ประชาธิปไตยที่แท้จริงที่มิใช่แต่เปลือกภายนอก จึงต้องมีการเข้าร่วมจริงโดยประชาชนแม้แต่ที่ด้อยฐานะที่สุดในกระบวนการทางการเมืองทุกระดับและทุกขั้นตอน นี่คือหลักการกำปั้นข้อที่สี่ว่าด้วย “การมีส่วนร่วม”

ท้ายสุด การช่วงชิงให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และการมีส่วนร่วม จะสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการต่อสู้ที่มีความชอบธรรมทางการเมืองเท่านั้น เพื่อไปช่วงชิงประชาชนผู้สนับสนุนให้ได้มากที่สุด

ความชอบธรรมนั้นจะได้มาก็ด้วยการต่อสู้บนหลักเหตุผลและวิธีการที่เป็นอารยะ นี่คือ หลักการกำปั้นข้อที่ห้าว่าด้วย “สันติวิธี”

ดอกผลสำคัญประการแรกของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ก็คือ การตกผลึกความคิดทางการเมือง ลงเป็นหลักการกำปั้น 5 ข้อนี้ ชูขึ้นเป็นธงนำทางความคิด โดยมีนัยสำคัญทางการเมืองเฉพาะหน้านี้คือ การยุติความขัดแย้งกันเองในหมู่ประชาชน แล้วสามัคคีกันไปช่วงชิงประชาธิปไตย

เพราะตราบเท่าที่ประชาชนยังแบ่งฝักฝ่าย ขัดแย้งต่อสู้กันเอง พวกเขาแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายก็จะอ่อนแอ ไม่มีพลังเข้มแข็งพอที่จะไปต่อสู้ช่วงชิงสิทธิประโยชน์ของตนเองได้

ความขัดแย้งแตกแยกกันเองในหมู่ประชาชนมีทั้งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นไปเอง และที่ปลุกปั่นกระพือโดยผู้ปกครองเพื่อทำลายการรวมตัวกันของประชาชน เป็นช่องว่างให้ผู้ปกครองขัดขวางประชาธิปไตยมาตลอดยุคสมัย เปิดโอกาสให้พวกเขาล้มล้างระบบรัฐสภาและก่อรัฐประหารเพื่อผูกขาดอำนาจในหมู่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

จุดประสงค์ของ “ขบวนประชาธิปไตยใหม่” จึงเป็นการ “ยกเลิกขั้ว สลายสี” ในหมู่ประชาชน วางความขัดแย้งกันเองไว้เบื้องหลัง ชูหลักการกำปั้น 5 ข้อเป็นแนวทางร่วมกัน สามัคคีกันไปเผชิญกับภัยอันตรายข้างหน้า ซึ่งก็คือความไม่เป็นประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไร้ซึ่งความยุติธรรม กีดกันประชาชนออกไปจากการมีส่วนร่วม และใช้กำลังความรุนแรงทั้งอาวุธและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

หลักการกำปั้น 5 ข้อ และเป้าหมายเพื่อไปสามัคคีประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้สะท้อนออกอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกในการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาทั้ง 14 คน ดังจะเห็นชัดว่า นี่เป็นครั้งแรกนับแต่รัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ที่ได้เกิดการเคลื่อนไหวอันเป็นความร่วมมือหนุนเนื่องกันของประชาชนหลายหมู่เหล่า หลายชนชั้น โดยมีปัญญาชนเป็นกองหน้า