-------------------------------------------------------------
หลังจากที่ฝ่ายกองทัพก่อการรัฐประหาร ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งเปลี่ยนการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยมาเป็นระบอบเผด็จการ ประเทศก็ถึงจุดจบในเรื่องเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็นและการเลือกตั้งอย่างยุติธรรม ในเวลานี้ ประเทศก็กำลังกล่าวคำอำลาต่อเรื่องภารกิจที่มีต่อทางนานาชาติอีกด้วย มันไม่มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทางด้านกฎหมายและด้านคุณธรรม มากไปกว่าเรื่องการตัดสินใจในเดือนนี้ ในการส่งตัวผู้อพยพชาวอุยกูร์ 109 คน ซึ่งเป็นชนส่วนน้อยที่มีเชื้อชาติเตอร์กีมุสลิม -- กลับไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนว่า พวกเขาทั้งหมดนั้นจะต้องเผชิญหน้าต่อการประหัตประหาร และมีโอกาสที่จะถูกทรมานอีกด้วย
ชนเผ่าอุยกูร์ของประเทศจีนนั้น ส่วนใหญ่จะตั้งรกรากกันอยู่ในเขตตะวันตกอันไกลโพ้นของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ แต่รกรากของพวกเขานั้นเป็นชนชาติเตอร์ก (Turkic) นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชนพันธุ์ฮั่น (Han) ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศจีน ชนเผ่าอุยกูร์นั้น ได้ถูกปฎิเสธเกี่ยวกับสิทธิของพวกเขาอย่างเป็นระบบมานานนับปี ท่ามกลางความรุนแรงที่ทวีมากขึ้นจากทั้งสองฝ่าย การเดินทางออกมาจากประเทศจีนในตอนแรกนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายดายต่อชาวอุยกูร์เลย แต่กับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ อย่างเช่น ประเทศมาเลเซียและประเทศกัมพูชา นั้น ก็ต้องยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของประเทศจีนในการส่งตัวบุคคลเหล่านี้กลับไป ขืนปล่อยไว้ในประเทศของตนเอง ก็จะเริ่มกลายเป็นสถานการณ์อันยากลำบากมากขึ้น
การที่ประเทศไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปนั้น เกิดขึ้นหลังจากมีการต่อว่าอย่างรุนแรงจากรัฐบาลจีน หลังจากที่ประเทศไทยยินยอมให้ผู้หญิงและเด็กผู้เยาว์ชาวอุยกูร์จำนวนประมาณ 170 คน เดินทางไปสู่ประเทศเตอร์กีได้ ประเทศจีนเป็นประเทศหุ้นส่วนการค้าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศไทย ซึ่งทำให้เป็นเรื่องที่อันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเล็กๆ ที่จะถูกทำให้เป็นปรปักษ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง การส่งตัวชาวอุยกูรณ์กลับไปยังประเทศจีนในเดือนนี้ เป็นความพยายามที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดในการเอาอกเอาใจ แต่ประเทศไทยเอง ยังมีภารกิจที่ใหญ่กว่าในเรื่องนี้ที่จะต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่่า: ประเทศไทยเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเป็นรัฐภาดีใน กติกาสัญญาต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture) ประเทศไทยรับหน้าที่ที่จะต้องไม่ส่งผู้หนึ่งผู้ใดที่อยู่ในการอารักขา กลับไปยังรัฐที่บุคคลเหล่านั้น จะต้องถูกเผชิญหน้ากับการฟ้องร้องประหัตประหารกัน สำหรับชาวอุยกูร์เอง รัฐที่กล่าวนั้น ก็คือ ประเทศจีนอย่างแน่นอนที่สุด
ในอดีตนั้น เมื่อชาวอุยกูร์เดินทางกลับไปยังประเทศจีนแล้ว พวกเขาก็จะถูกจับกุมโดยพลการและต้องถูกจองจำอยู่อย่างไม่มีกำหนด ซึ่งตามปกติแล้ว จะมีเรื่องการฟ้องร้องเกี่ยวกับอาชญากรรมตามขึ้นมาเพื่อเพิ่มข้อกล่าวหา ในกรณีนี้ ประเทศจีนได้กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุด ชาวอุยกูรณ์ที่ถูกเนรเทศออกไปจากประเทศไทยบางคนนั้น เป็น ผู้ก่อการร้าย และมีความประสงค์ที่จะเข้าไปร่วมการต่อสู้เพื่อสงครามอันศักดิ์สิทธิ์ (Jihad) โดยปราศจากการเสนอให้เห็นถึงหลักฐานใดๆ ที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างต่างๆ นี้
การปฎิบัติในเดือนนี้ ทำให้ประเทศไทยต้องลดตัวลงไป สู่ในมาตรฐานของประเทศที่ประเทศที่แสวงหาการเอาอกเอาใจ: นั่นก็คือ ประเทศจีนเองเป็นผู้ปฎิบัติการที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องการใช้กำลังบังคับให้ส่งตัวกลับ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประชากรของประเทศเกาหลีเหนือที่หนีออกมาเป็นจำนวนนับหมื่นคนนั้น ได้ถูกส่งกลับไปยังประเทศเกาหลีเหนือในระยะเวลาสองศตวรรษที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่า มันเป็นหน้าที่ของประเทศไทยในการยึดมั่นในภารกิจของประเทศตนเอง แทนที่จะเอาอกเอาใจต่อผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างที่ทราบกันอยู่ ประเทศจีนเองก็สมควรที่จะต้องถูกตำหนิอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศไทยควรจะออกประกาศการเลื่อนการเนรเทศตัวบุคคลอย่างทันที ไม่เฉพาะชาวอุยกูร์เท่านั้น แต่จะต้องหมายถึงใครก็ตามที่ยังรอการพิจารณา ในสถานะผู้อพยพกันอยู่ และประเทศจีนก็ควรจะให้ข้อมูลอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับ บุคคลที่ถูกส่งตัวกลับซึ่งขัดกับความประสงค์ของพวกเขานั้นว่า ในเวลานี้มีความเป็นอยู่เป็นอย่างไร และอยู่ที่ไหนกันบ้างในเขตการปกครองของตนเอง ประเทศจีนควรจะเลิกมัดมือชก เพื่อทำให้ประเทศต่างๆ ที่มีศักยภาพอ่อนกว่านั้น จะต้องทำงานอันสกปรกแทนตนเองเสีย...
-----------------------------------------------------------
ความคิดเห็นของผู้แปล:
ดิฉันไปเห็นบทความนี้ในบทบรรณาธิการของ Washington Post ก็เลยนำมาแปลให้อ่านกัน
ถือว่าเป็นบทบรรณาธิการที่เขียนอย่างแรงแบบสุภาพพอสมควร และทราบว่า ประเทศไทยในเวลานี้ อยู่ภายใต้ "การกำกับการ" ของประเทศจีน ซึ่งสามารถ "สั่งซ้ายหันขวา" ได้ และประเทศไทยเอง ก็ต้องไป พินอบพิเทา เพื่อเอาอกเอาใจประเทศจีน เพราะกลายมาเป็น "ลูกพี่" ใหญ่ในเวลานี้
สถานะของคนอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปนั้น ควรจะได้รับการเยี่ยมเยือนจาก องค์กรกาชาดสากล และ UNHCR แทนที่จะให้ตัวแทนของไทย มาแถลงเรื่องนี้ด้วยการบอกเล่าจากปากของคนๆ เดียว และเรื่องการอ้างว่า บุคคลเหล่านี้ เป็นผู้ก่อการร้ายนั้น ก็น่าสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมถึงหนีออกมาอยู่ในค่ายกักกันของไทยมากกว่าหนึ่งปี
เหตุการณ์ของชาวอุยกูร์นี้ ต่างกับ โรฮิงญาเป็นอย่างมาก และมีหลายๆ คนที่ไม่สนับสนุนเหตุการณ์โรฮิงญานั้น ก็คงจะหมายถึงความแตกต่างเรื่องเดียว นั่นก็คือ ชาวอุยกูร์นั้น เขามีที่ลงในประเทศเตอร์กี ในขณะที่ โรฮิงญานั้น ยังเคว้งคว้างกันอยู่ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้รับภาระในเรื่องนี้ ดิฉันคิดว่า นี่คือ สิ่งที่เพื่อนๆ หลายท่านเห็นพ้องกันว่า ถ้าบุคคลเหล่านี้มีที่ลงแล้ว ก็จะไม่เป็นภาระของประเทศไทยในระยะยาวกัน
ข้อสำคัญคือ กระบวนการตรวจสอบข้อมูลของทหารไทยที่ทำกันอย่างลับๆ นั้น องค์กร UNHCR มีส่วนร่วมในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน และอาจารย์สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ก็เพิ่งจะโพสต์เมื่อวานว่า
"เครื่องบินโดยสารจีนเจ้ากรรมลำเดียวที่ลำเลียง109ชาวอุยกูร์กลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนั้น กลับมาสู่อ้อมกอดกะลาแลนด์วานนี้ " และ "คาดว่ามารับอุยกูร์ที่เหลือกลับ ??" ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง ก็หมายถึงว่า อาจจะมีการละเมิดสิทธิของผู้ลี้ภัยเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองก็ได้....
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ