(คัดมาจากบทความชื่อเดียวกัน โดยระยิบ เผ่ามโน http://tgdr.blogspot.com/)
“ในวันนี้มองว่าประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยทุกอย่าง ๙๙.๙๙ เปอร์เซนต์ ตอนนี้หากจะว่าใคร
ผมก็ไม่เคยว่า แต่อย่ามาต่อต้านกัน
เพราะถ้าเป็นประเทศอื่นเวลาควบคุมอำนาจสั่งติดคุกหมดแล้ว
หรือถ้าไม่ทำตามสั่งติดคุก ยิงเป้า
ไม่ต้องมานั่งปวดหัวแบบนี้”
‘ประเทศอื่น’ ที่ ‘บิ๊กตู่’ อ้างคงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากอียิปต์
ซึ่งคณะทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วทำการกวาดล้าง
ปราบปรามพลพรรคและเครือข่ายทางการเมืองขององค์การ ‘ภราดรภาพมุสลิม’
(Muslim Brotherhood) อันเป็นแก่นสำคัญแห่งรัฐบาลของนายโมฮาเม็ด
มอร์ซี่ ที่ถูกโค่นล้มไป
นายพล อับเดล ฟัตตาห์ เอล-ซีซิ ประธานาธิบดีอียิปต์ทักทายผู้ไปร่วมประชุมวิสัยทัศน์ธุรกิจที่ชาม เอล ชี้ค |
คณะทหารอียิปต์อ้างว่าพวกภราดรภาพมุสลิมเป็นกลุ่มก่อการร้าย
จึงทำการกวาดล้างไม่ยั้งอย่างถอนรากถอนโคน เมื่อปีที่แล้วศาลอียิปต์ซึ่งตัดสินคดีการเมืองอย่างลำเอียง
จงใจลงโทษฝ่ายตรงข้ามกับคณะทหาร พิพากษาประหารชีวิตผู้สนับสนุนรัฐบาลมอร์ซี่ กว่าพันคน (๕๒๙ รายในเดือนมีนาคม และ อีก ๖๘๓
คนในเดือนเมษายน) ที่แม้ว่าต่อมาผู้ต้องโทษจำนวนมากได้รับการผ่อนปรนหลังอุทธรณ์
หรือกลับคำพิพากษาปล่อยตัวไป
ท้ายสุดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้
ศาลยืนกรานให้ประหารผู้สนับสนุนภราดรภาพมุสลิม ๑๘๓
คนที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่ในการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ทำให้มีตำรวจ-ทหาร
เสียชีวิตไป ๑๔ คน แต่ก่อนหน้านั้นเมื่อปลายปีที่แล้ว (พฤศจิกายน) ศาลกลับยกฟ้องคดีต่างๆ ที่ยังค้างคาอยู่ต่อฮอสนิ มูบารัค อดีตผู้เผด็จการคนก่อนจนหมดสิ้น
รวมทั้งคดีสังหารผู้ประท้วง ‘อาหรับสปริง’ กับคดีคอรัปชั่นที่ถูกคณะทหารชุดก่อนใช้อ้างในการปลดมูบารัคจากอำนาจในปี
๒๕๕๔
นอกจากนั้นยังมีการพิพากษาจำคุกผู้เยาว์ (อายุ ๑๓ ถึง ๑๗
ปี) อีก ๗๘ คน โทษฐานเป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองที่ถูกประกาศ (โดยคณะรัฐประหาร) ว่าอยู่
‘นอกกฏหมาย’ ซึ่งก็คือกลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮู้ดนั่นแหละทั้งนี้เนื่องจากเด็กเหล่านี้ไปร่วมชุมนุมคัดค้านรัฐประหารที่บราเธอร์ฮู้ดจัดขึ้น
รายงานข่าวอัลจาซีราระบุว่านับแต่คณะทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลมอร์ซี่เป็นต้นมา
มีประชาชน ๑,๔๐๐ คนถูกฆ่า อีก ๑๕,๐๐๐ ถูกคุมขัง
รวมทั้งร้อยกว่าคนที่ถูกตัดสินประหาร
น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา พยาบาลอาสา พยานปากเอกคดีทหารยิงอาสาสมัครตาย ๖ ศพในวัดปทุมวนาราม ระหว่างการกระชับพื้นที่สลายชุมนุมเสื้อแดง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ |
พันศักดิ์ ศรีเทพ พ่อน้องเฌอ อาสาสมัครที่ถูกทหารยิงตายในเหตุการณ์ ๑๐ เมษา ๕๓ ถูกจับกลางดึกคืนวันที่ ๒๕ มีนาคม ๕๘ ก่อนกำหนดเดินประท้วงให้พลเรือนขึ้นศาลทหารในวันรุ่งขึ้น |
ทั้งสามกรณีดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าการขู่เข็ญ-คุมเข้มบรรดานักศึกษาที่มีประวัติการเคลื่อนไหวทางการเมือง(ล่าสุด ๑๙-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑๗ ราย) ไปถึงการยัดข้อหาก่อการร้ายต่อผู้ที่ต่อต้านคณะรัฐประหาร
การยกฟ้องหรือปล่อยให้คดีที่กลุ่มการเมืองฝักฝ่ายตนหมดอายุความ (คดี ปรส. ๘ หมื่นล้าน)
ขณะที่รวบรัดคดีการเมืองเพื่อเอาผิดอาญาแก่นายกรัฐมนตรีและคณะในรัฐบาลชุดเลือกตั้งที่ถูกยึดอำนาจ
เลยไปถึงการใช้ยาแรงกำจัดผู้เห็นต่างด้วยข้อหาหมิ่นกษัตริย์
ซึ่งบัดนี้ยกระดับโดยใช้ข้อหาก่อการร้ายสมทบเข้าไปด้วย
ล้วนเป็นลักษณะการกดขี่ข่มเหงประชาชน ในเส้นทาง (Road map) เดียวกับคณะทหารอียิปต์ทั้งสิ้น
เมื่อกลางปีที่แล้ว หลังจากคณะทหารบูรพาพยัคฆ์ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้งของ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ไม่นาน ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตุท่าทีของหัวหน้าทีมรัฐประหารไว้ว่า
ดูจะเอาอย่างเผด็จการอียิปต์
สร้างความชอบธรรมให้แก่ตนตามแบบนายพลอับเดล ฟัตตาห์ เอล-ซิซี
ที่ขณะนั้นเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ด้วยคะแนนท่วมท้นไม่ธรรมดา
มาบัดนี้ สิบเดือนผ่านไป การยึดอำนาจที่หลายกลุ่มแสดงอาการสะใจ
พวกปิดกรุงเทพฯ ป่วนเมือง ที่เรียกตนเองว่า กปปส. พากันไปฉลองใหญ่ในโรงแรมหรู
แล้วจากนั้นบรรดาแกนๆ ก็พากันไปบวชหลีกลี้คดีสั่งฆ่าประชาชน เข้ายึดครองวัดสวนโมกข์
ไชยา เอามาเป็นที่ส้องสุมโดยแยบยล ขณะทหารจัดการกับเส้นสายและฐานกำลังของรัฐบาลเก่าโดยละม่อม
ทางด้าน ‘เรือแป๊ะ’ ก็แล่นฉลุยไม่เหลียวหลัง
เตรียมทางสะดวกสำหรับรัฐบาลชอบสั่ง (ไม่ค่อยชอบทำ) ที่จะมีกรรมการคัดสรรกันอย่างอิสระในหมู่คนดี
คนเก่ง คนชั้นนำ และคนเหนือคน ไม่ต่างมากนักกับเผด็จการทหารอียิปต์
ที่ปูทางไปสู่ชัยชนะเลือกตั้งท่วมท้นด้วยการกำจัดบราเธอร์ฮู้ดคู่ต่อสู้ทางการเมืองหลักอย่างราบคาบจนไม่สามารถลงแข่งได้
จับหัวแถวตั้งแต่มอร์ซี่ลงมายัดใส่คุก เก็บหัวหอก ‘ฮ้าร์ดคอร์’ ด้วยน้ำมือการ์ดฝ่ายปราบปรามและคำตัดสินประหาร
ดังที่อัลจาซีรารายงานว่าตายเป็นพัน
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ให้สัมภาษณ์ นสพ. ไทยรัฐ ตำหนิรัฐบาลคณะรัฐประหารไม่ยอมกรีดฝีหนอง |
หากแต่เส้นทางเรือแป๊ะกับเรือกอนโดล่านั่นผิดแผกกันอยู่
ประดุจดังความต่างของน้ำเจ้าพระยากับน้ำไนล์ ซึ่งว่ากันว่าคณะยึดอำนาจไทยชุดนี้ลงมือกระทำการด้วยปณิธานว่าจะไม่ยอมให้
‘เสียของ’ เหมือนครั้งก่อน ครั้นพอกุมอำนาจได้มั่นมือแล้วจึงเป็นที่กระจ่างว่าการไม่เสียของก็คือ
‘ไม่ปล่อยให้ตาอยู่ฉกเอาไปกิน’ อีกนั่นเอง
ระยะนี้จึงเห็นมีเกจิในสายตาอยู่ออกมาบ่นเรื่อง ‘ฝีกลัดหนอง’ กับ ‘ของเสีย’ เสียงดังทีเดียว
แถมเตือนอย่างมีเลศซ่อนเร้นว่าเดือนเมษานี้แหละ ‘ฝีจะแตก’
เลยทำให้เรื่องเส้นทางไปสู่การเป็นผู้ปกครองอย่างภาคภูมิในระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์
‘ตั้ง’ ด้วยการ ‘แต่ง’ และ ‘ลาก’ เห็นทีจะมีขวากหนาม
ถ้าจะเทียบเคียงดูว่าคณะยึดอำนาจไทยจะไปถึงที่สุดตามเส้นทางอียิปต์หรือไม่
ต้องดูที่พี่ใหญ่ยูเอส ‘เพ็นตากอน’ คณะทหาร
เอล-ซิซี แม้ตอนยึดอำนาจใหม่ๆ จะเคยถูก รมว. ต่างประเทศสหรัฐ จอห์น แคร์รี่ ตำหนิเรื่องสิทธิมนุษยชน
แต่ก็ได้รับสัญญานดันก้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ เมื่อนายแคร์รี่บอกว่าพร้อมกลับมาจูบปากกันอีก
แม้ว่าขณะนั้นรัฐบาลเอล-ซิซีตกเป็นเป้าตักเตือนโดยองค์การ ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ ค่อนข้างหนักเรื่องข่มเขงประชาชน
จนมาถึงขณะนี้นายพลเอล-ซิซีที่เปลี่ยนมาเป็นประธานาธิบดีเต็มตัว
สามารถพูดกับสื่ออเมริกันอย่างเต็มปากชักนำให้เห็นความสำคัญของคณะตน ด้วยการกล่าวหาภราดรภาพมุสลิมว่าเป็นขบวนการก่อการร้าย
ในการให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์
เขาพูดถึงศรัทธาในศาสนาอิสลามว่าดั้งเดิมมิได้แฝงด้วยอุดมการณ์รุนแรงแม้แต่น้อย
แต่มาแปรเปลี่ยนไปในราวปี ค.ศ. ๑๙๒๘ เมื่อเกิดกลุ่มหัวแข็งอย่างภราดรภาพขึ้น
อีกเหตุที่ทำให้ผู้นำทหารอียิปต์ได้รับการยอมรับจากสหรัฐในฐานะประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลพลเรือน
อยู่ที่บทบาทของเขาในการต่อกรกับขบวนการรัฐอิสลาม (Islamic State)
โดยส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปถล่มฐานที่มั่นไอเอสทั้งในซีเรียและอิรัก
(แม้นว่าเพื่อเป็นการตอบโต้ต่อการที่กลุ่มไอซิสกระทำการสำเร็จโทษตัดหัวชาวอียิปต์นับถือคริสต์
๒๑ คน ในซีเรียก่อนหน้านั้นก็ตามที)
มิใยที่ สื่อกระแสหลักในสหรัฐบางส่วนวิพากษ์การที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโอบาม่ายังคงเอาใจรัฐบาลทหารอียิปต์
โดยคงไว้ซึ่งงบประมาณความช่วยเหลือทางทหารปีละ ๑.๓ พันล้านดอลลาร์
กับไม่ยอมปริปากถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน จับกุมคุมขังสื่อกับนักศึกษา
ล่าสังหารพวกบราเธอร์ฮู้ด และจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
รัฐบาลทหารของนายพลเอล-ซิซี จึงน่าจะเป็นที่พิสมัย
เอาเยี่ยงอย่างโดยคณะยึดอำนาจไทยได้อย่างดี
ซ้ำร้ายคณะทหารไทยดันเล่นไพ่ผิดประเภท
แทนที่จะเล่นโป๊กเกอร์กลับไปเล่นไพ่เก๋า เมื่อพลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รมว. ต่างประเทศให้สัมภาษณ์ว่าถ้าไทยบาดหมางกับสหรัฐ
ก็เชื่อว่าจะได้เกาหลีเหนือกับจีนมาหนุนหลัง
หนักไปกว่านั้นพวกเบี้ยพลอยพยักในสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีหนังสือเรียกตัวอุปทูตอเมริกัน
แพ้ทริก เมอร์ฟี่ ไปให้การตอบข้อซักถาม เลยถูกศอกกลับมาว่า
ไม่มีระเบียบปฏิบัติที่ไหนให้ทำอย่างนั้น
อาการผิดผีผิดไข้ต่างๆ ที่คณะยึดอำนาจพลาดท่าเดินไม่ตรงโร้ดแม็พทั้งแบบอียิปต์และแนวสหรัฐ
ซึ่งก็คงได้รับคำตอบแบบองุ่นเปรี้ยวจากผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลคณะทหารได้ว่า
เป็นแผนภาพเส้นทางที่ไม่อยู่ในสายตาของ คสช. เลยแม้แต่น้อย เพราะคณะยึดอำนาจมีโร้ดแม็พของตัวเองอยู่แล้ว
หากแต่โร้ดแม็พของ คสช. เองยังมองไม่เห็นช่องบรรลุได้โดยผ่องใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความเป็นอยู่
ปากท้องประชาชน ที่กำลังเป็นดั่งน้ำเต้าน้อยถอยลงเวลานี้
หวังว่าเจ้าตัวหัวหน้าใหญ่จะสามารถไปชี้แจงให้แจ่มแจ้งในที่ประชุมนานาชาติ
สำนักงานใหญ่ยูเอ็นในนครนิวยอร์ค ตอนเดือนกันยายนนี้ได้อย่างดี โดยไม่มีตาอยู่
หรือหัวหมู่ไหนใจร้อนมาตัดหน้าเอาไปทำเองเสียก่อนก็แล้วกัน