สรุปบทเรียน 22 พ.ค. 2557 (5): กลุ่มพลังคนเสื้อขาว
โดย
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ‘โลกวันนี้วันสุข’ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2558
การเคลื่อนไหวของกลุ่ม
กปปส. ตั้งแต่การคัดค้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม (ฉบับเหมาเข่ง)
ไปจนถึงการล้มล้างการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 และกระทั่งรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ยังได้ทำให้กลุ่มคนชั้นกลางในเมืองจำนวนหนึ่ง ‘ตื่นขึ้นจากหลับ’ กลายเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกกันว่า ‘กลุ่มคนเสื้อขาว’
คนชั้นกลางในเมืองเป็นกลุ่มชนทางเศรษฐกิจที่เกิดและเติบโตขึ้นโดยเป็นผลพวงจาก
‘การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมไทย’
ตั้งแต่ยุค 2500 ภายใต้เผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงยุค 2535 ภายใต้ระบบรัฐสภาครึ่งใบของเปรม ติณสูลานนท์ และชาติชาย ชุณหวัน
ลักษณะสำคัญในทางเศรษฐกิจของคนชั้นกลางในเมืองเหล่านี้ก็คือ
พวกเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการขยายตัวเติบใหญ่ของกลุ่มทุนจารีตนิยมและกลุ่มทุนเก่าเชื้อสายจีน
คนชั้นกลางในเมืองเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดกลุ่มหนึ่งจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ คนชั้นกลางในเมืองจึงมีลักษณะสองประการที่ขัดแย้งกันเอง
ซึ่งทำให้พวกเขามีจุดยืนและท่าทีทางการเมืองที่สับสน โลเล และเปลี่ยนแปลงตรงข้ามไปมา
ในด้านหนึ่ง
เนื่องจากคนชั้นกลางในเมืองมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ผูกพันแบ่งปันอยู่กับกลุ่มทุนจารีตนิยมและกลุ่มทุนเก่าเป็นส่วนใหญ่
นี่ทำให้พวกเขาเป็นอนุรักษ์นิยมทางการเมือง แสดงออกเป็นลัทธิชาตินิยมและกษัตริย์นิยม
(ส่วนหนึ่งเพื่อชดเชยและปกปิดต้นกำเนิดเชื้อสายจีนของตน) รังเกียจและหวาดระแวงกลุ่มพลังทางการเมืองอื่นๆ
เช่น คนงาน เกษตรกร คนชั้นล่างในเมืองและชนบท กลุ่มทุนภูธร
และพรรคการเมืองที่อาศัยฐานเสียงของคนเหล่านี้
แต่ในอีกด้านหนึ่ง
คนชั้นกลางในเมืองก็ยังคงเป็นเบี้ยล่างของกลุ่มทุนจารีตนิยมและกลุ่มทุนเก่า และตราบจนปี
2535
พวกเขาก็ไม่มีพื้นที่ส่วนแบ่งในอำนาจรัฐที่ถูกกุมอยู่ในมือกลุ่มจารีตนิยม-ทหาร-ขุนนางข้าราชการ
ข้อนี้ทำให้พวกเขามีความเรียกร้องต้องการระบบการเมืองที่เปิดช่องทางพื้นที่ให้พวกเขาได้เข้าไปมีส่วนในอำนาจรัฐบ้าง
รัฐประหาร
2534 โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)
และกรณีนองเลือดพฤษภาคม 2535 คือผลของลักษณะการเมืองที่สับสน
โลเล ของคนชั้นกลางในเมืองดังกล่าว แม้ว่าในระยะแรก
พวกเขาจะพอใจกับการได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (คือ ชาติชาย
ชุณหวัน)
อีกทั้งได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในช่วงดังกล่าว
แต่ในทางการเมือง พวกเขากลับเดินตามกลุ่มจารีตนิยมในการโจมตีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งว่า
‘ทุจริตคอรัปชั่น’ และเป็น ‘บุฟเฟ่คาบิเน็ต’ จนเป็นเงื่อนไขความชอบธรรมแก่รัฐประหารโดยกลุ่มทหาร
รสช. ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534
ในระยะแรก เผด็จการของ รสช. จึงได้รับการสนับสนุนจากคนชั้นกลางในเมืองอย่างเต็มที่
ซึ่งเพ้อฝันว่า เผด็จการทหารจะ ‘ขจัดนักการเมืองทุจริตคอรัปชั่น’ ได้อย่างถึงราก
แต่การณ์กลับเป็นว่า กลุ่มทหาร รสช.ได้หันไปใช้ประโยชน์จาก
‘นักการเมืองทุจริต’ กลุ่มเดิมนั่นแหละ ในการสร้างกลุ่มพรรคการเมืองในสภาเพื่อสืบทอดอำนาจทหารภายใต้ระบบรัฐสภาครึ่งใบต่อไป
ความผิดหวังของคนชั้นกลางในเมืองดังกล่าวจึงนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านนายกรัฐมนตรีสุจินดา
คราประยูร จนเป็นกรณีนองเลือดพฤษภาคม 2535 และการแก้รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสภาผู้แทนราษฎร
กลุ่มปกครองจึงได้ตระหนักถึงพลังทางการเมืองของคนชั้นกลางในเมืองเป็นครั้งแรก
และได้เปิดช่องทางให้พวกเขาได้ค่อยๆ
เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งในระบบรัฐสภามากขึ้น
คนชั้นกลางในเมืองประสบความเสียหายอย่างหนักจากวิกฤตเศรษฐกิจ
2540
ซึ่งทำให้เขาเรียกร้องต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็งเพื่อเข้ามากอบกู้ภาวะเศรฐกิจ
พวกเขาจึงเป็นพลังสำคัญที่ร่วมกับกลุ่มจารีตนิยมและกลุ่มทุนเก่า ทำการผลักดัน ‘การปฏิรูปการเมือง’ จนนำมาซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540
และรัฐบาลไทยรักไทยในปี 2544
นับแต่ปี 2535 จนถึงการเลือกตั้งปี 2548 คนชั้นกลางในเมืองคือกลุ่มผู้ที่ได้ประโยชน์จากการร่วมส่วนทางการเมืองในระบบการเมืองแบบรัฐสภามากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
แต่ชัยชนะเด็ดขาดในการเลือกตั้งปี 2548
ของพรรคไทยรักไทยด้วยการสนับสนุนอย่างล้นหลามของประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท
(ที่บางคนเรียกว่า ‘คนชั้นกลางใหม่’)
ก็ทำให้คนชั้นกลางในเมืองเหล่านี้เกิดอาการ ‘ช็อค’ ตกใจอย่างยิ่ง พวกเขาเห็นการตื่นตัวของประชาชนชั้นล่างเหล่านี้เป็น ‘ภัยอันตราย’ ที่จะเข้ามาร่วมแบ่งส่วนการใช้อำนาจในระบบรัฐสภา
การเมืองแบบเลือกตั้งที่เคยให้ประโยชน์แก่คนชั้นกลางในเมืองมาตั้งแต่ปี 2535
บัดนี้ได้ถูกฉวยใช้เป็นเครื่องมือในการแบ่งส่วนอำนาจโดยชนชั้นล่างในเมืองและชนบทไปเสียแล้ว
‘ภัย’
จากมวลชนชั้นล่างนี้เอง ที่ทำให้คนชั้นกลางในเมืองเหวี่ยงกลับไปสู่จุดยืนการเมืองที่เป็นอนุรักษ์นิยมและถอยหลัง
แสดงออกเป็นการเมืองที่นิยมกษัตริย์และปฏิเสธการเมืองแบบเลือกตั้ง
ก่อเป็นการเคลื่อนไหวของพลังคนชั้นกลางในเมืองภายใต้การอุปถัมป์ของจารีตนิยมจนเป็นเงื่อนไขรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 ในที่สุด
การผลักดันพรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งได้สร้างความโกรธแค้นแผ่ขยายวงกว้างในหมู่คนชั้นกลางในเมือง
จนเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มกปปส.เคลื่อนไหว ‘ขบวนนกหวีด’ ขยายผลไปสู่การขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต่อต้านการเลือกตั้ง
และเรียกร้องรัฐประหาร
ทว่า
การแตกหักทางการเมืองครั้งนี้ได้ทำให้ขบวนคนชั้นกลางในเมืองเกิดการ ‘ปริแตก’ โดยคนจำนวนหนึ่งได้สรุปบทเรียนจากรัฐประหาร 2549 และการสังหารหมู่คนเสื้อแดงเมื่อพฤษภาคม 2553 ว่า
หนทางเผด็จการและรัฐประหารไม่อาจแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองอันยืดเยื้อครั้งนี้ได้
คนชั้นกลางกลุ่มนี้จึงถอยออกจาก
‘ขบวนนกหวีด’
ปฏิเสธการเรียกหารัฐประหารและเรียกร้องการเลือกตั้งด้วยการสวมเสื้อขาวและ ‘จุดเทียน’
ยิ่งกว่านั้น การล้มล้างการเลือกตั้ง
2
กุมภาพันธ์ และรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ก็ทำให้คนชั้นกลางในเมืองกลุ่มนี้ ‘ตื่นขึ้น’ จากภาวะโลเลไร้เดียงสาทางการเมืองในที่สุด
แม้ว่ารัฐประหาร 2557 จะได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากชนชั้นกลางในเมืองส่วนใหญ่
ที่เพ้อฝันว่าเผด็จการทหารจะสามารถทำลายล้างพลังทางการเมืองของชนชั้นล่างให้หมดสิ้นไปได้
แต่ก็มีกลุ่มพลัง ‘คนเสื้อขาว’
จำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารและไม่อาจยอมรับการเมืองที่ ‘ถอยหลัง’ ย้อนไปถึงยุคก่อนปี 2535 ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญที่มิเพียงขจัดคนชั้นล่างในเมืองและชนบทออกไปจากการเมืองเท่านั้น
แต่ยังปิดช่องทางการเมืองที่คนชั้นกลางในเมืองเคยได้รับและมีส่วนร่วมมาตั้งแต่ปี 2535
อีกด้วย
จึงอาจกล่าวได้ว่ากลุ่ม ‘คนเสื้อขาว’ ก็เป็นพลังทางการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่คัดค้านรัฐประหารและเผด็จการ
แม้ว่าพวกเขาจะยังคงระแวงนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
ไม่ชอบนักการเมืองและพรรคการเมืองที่คนชั้นล่างสนับสนุน แต่ในภาวะที่ขบวนคนเสื้อแดงแตกแยกและสลายตัว
ส่วนนักการเมืองและพรรคการเมืองก็หันไปสมยอมกับเผด็จการ
คนชั้นกลางเหล่านี้แม้จะยังมีจำนวนน้อย แต่ก็สามารถมีส่วนร่วมและบทบาทที่สำคัญในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระยะข้างหน้า
เช่นเดียวกับนิสิตนักศึกษาปัญญาชนอย่างแน่นอน
ขบวนประชาธิปไตยจึงต้องให้ความสนใจต่อพลังคนชั้นกลางส่วนนี้อย่างจริงจัง
แสวงหาความร่วมมือและสนับสนุนจากคนชั้นกลางในเมือง ด้วยองค์กรจัดตั้งและแนวทางการเมืองที่เหมาะสมกับธรรมชาติทางการเมืองของพวกเขา
ช่วงชิงพวกเขามาร่วมส่วนประชาธิปไตยให้ได้มากที่สุด