วันอาทิตย์, มิถุนายน 11, 2566

ถ้าต้องย้ายประเทศ จะย้ายไป "จีน" หรือ "อเมริกา" ดี ?



ถ้าต้องย้ายประเทศ คุณจะย้ายไป "จีน" หรือ "สหรัฐอเมริกา"

By ดร.โสภณ พรโชคชัย
9 มิ.ย. 2566
กรุงเทพธุรกิจ

คำถามง่ายๆ “ถ้าต้องย้ายประเทศ คุณจะย้ายไปจีนหรือสหรัฐอเมริกา” โดยสมมติว่าถ้าไทย “สิ้นชาติ” คุณจะย้ายไปอยู่ที่ไหน แต่นี่เป็นคำถามที่เป็นไปไม่ได้ เพราะยังไงไทยก็ยังคงอยู่ยั้งยืนยง อาจเป็นพลเมืองประเทศอื่นในโลกก็ได้ว่าจะย้ายไปที่ไหนดีระหว่าง 2 ประเทศนี้

ไม่ใช่ว่าผม “โปร” ประเทศใดโดยเฉพาะ แม้ผมจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน 100% ก็ไม่ได้เข้าข้างจีน และแม้ในขณะนี้ผมจะเดินทางมาประชุมที่สหรัฐ และบางปีก็มาถึง 4 หน มีศาสตราจารย์เป็นชาวอเมริกันหลายคนก็ใช่ว่าจะ “โปร” เขาแต่อย่างใด แต่ที่ต้องถามเพราะตอนนี้มีกระแสต่อต้านสหรัฐอย่างหนักหน่วงจากหน่วยโฆษณาชวนเชื่อของจีน เราคนไทยต้องฟังหูไว้หู

ข้อความโจมตีสหรัฐ หรือปกปิดความจริงของจีนในขณะนี้ก็เช่น

1.สหรัฐมีคนเร่ร่อน “ยั้วเยี้ย” (อย่างกับหนอน) เต็มไปหมด ในความเป็นจริง สหรัฐมีคนเร่ร่อนอยู่ทั่วประเทศ 553,000 คน และขณะนี้มีแนวโน้มลดลง สหรัฐมีประชากรทั้งหมด 332 ล้านคน แสดงว่าประชากรอเมริกัน 0.17% เป็นคนเร่ร่อน หรือประชากร 1,000 คน เป็นคนเร่ร่อน 17 คนนั่นเอง

ขณะที่ประเทศจีนมีคนเร่ร่อนประมาณ 3 ล้านคน แต่จีนมีประชากรมากที่สุดในโลกถึง 1,412 ล้านคน หรือสัดส่วนของประชากรคนเร่ร่อนคือ 0.21% หรืออีกนัยหนึ่ง ประชากร 1,000 คนจะเป็นคนเร่ร่อนถึง 21 คน แสดงว่าในประเทศจีนมีคนเร่ร่อนในสัดส่วนที่มากกว่าในสหรัฐ

อันที่จริง จีนอาจมีจำนวนคนเร่ร่อนมากกว่านี้มาก บางแหล่งข่าวบอกว่ามีนับร้อยล้านคน เพราะมีการย้ายถิ่นจากชนบทเข้ามาทำงานในเมือง อีกส่วนหนึ่ง ผู้ย้ายถิ่นเหล่านี้มีที่อยู่อาศัยในสภาพที่ไม่ถูกสุขลักษณะ แต่อาจไม่ได้ถูกจัดเป็นคนเร่ร่อน ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลก็พยายามจัดหาที่พักชั่วคราวรองรับจึงทำให้เห็นภาพคนเร่ร่อนตามท้องถนนไม่มาก

ส่วนในสหรัฐ ประชาชนมีอิสรเสรีตั้งแต่สมัยฮิปปี้หรือบุปผาชน ย้ายถิ่นเร่ร่อนไปเรื่อย โดยเฉพาะมาปักหลักในเมืองใหญ่ เราจึงเห็นการชุมนุมของคนเร่ร่อนในมหานครขนาดใหญ่ เช่น ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก หรืออื่นๆ แต่ในเมืองขนาดเล็กแทบไม่พบคนเร่ร่อน โดยเฉพาะที่มารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ กรณีนี้ก็คล้ายขอทานในอินเดีย ซึ่งพบในมหานครไม่ใช่ในเมืองเล็กๆ



2.อาชญากรรมต่อคนเอเชียมีมากมายเหลือเกิน เช่น มีรายงานข่าวว่าจำนวนเหยื่ออาชญากรรมเรื่องผิวสี เพิ่มขึ้น 567% ซึ่งดูแล้วน่าตกใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วคือเพิ่มขึ้นจาก 9 รายเป็น 60 ราย ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเหยื่ออาชญากรรมอื่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

ยิ่งหากดูจากสถิติอาชญากรรมของตำรวจซานฟรานซิสโกล่าสุด (1 ม.ค.-28 พ.ค.2566) พบว่าลดลง 6.7% จากช่วงเวลาเดียวกัน ดังนั้น ก่อนที่จะเชื่อข้อมูลใดๆ เราจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน

3.บ้านว่าง (Vacant Housing Units หรือ Unoccupied Housing Units) มีการโพนทะนากันว่าในสหรัฐมีมากถึง 15.053 ล้านหน่วย หรือราว 144.287 ล้านหน่วย (10.4%) ในขณะที่สถานการณ์บ้านว่างในจีนหนักกว่าด้วยซ้ำไป

ตามรายงานข่าวของ South China Morning Post ฉบับวันที่ 14 ส.ค.2565 กล่าวว่า ประเทศจีนมี “บ้านว่าง” อยู่ถึง 50 ล้านหน่วย หรือราว 12.1% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในประเทศจีน (ราว 400 ล้านหน่วย) แสดงว่าในจีนผลิตที่อยู่อาศัยมากมาย (เพื่อการเก็งกำไร) หนักกว่าในสหรัฐ

4.แม้แต่ในเรื่องโควิด-19 สหรัฐเปิดเผยอย่างชัดเจนและแทบทุกประเทศก็พยายามเปิดเผยตัวเลขอย่างโปร่งใส เช่น สหรัฐเปิดเผยว่านับแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีประชากรติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 107,128,863 คน ตายไป 1,165,540 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 334,805,269 คน หรือติดเชื้อในสัดส่วน 32% หรือหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด

ขณะที่จีนประกาศว่าติดเชื้อเพียง 503,302 คน ตายเพียง 5,272 คน จากจำนวนประชากร 1,448,471,400 คน แสดงว่าผู้นำจีนปกปิดโกหกต่อชาวโลกชัดๆ แล้วจีนจะยังเหลืออะไรให้ชาวโลกเชื่อถือไว้วางใจได้อีก


5.ประเทศไหนน่าซื้อบ้านอยู่หรือเก็งกำไรบ้าง นักลงทุนเพื่อนบ้านของไทยนิยมย้ายไปสหรัฐมากน้อยเพียงใด จากผลสำรวจที่ทำไว้ก่อนช่วงโควิด-19 จะเห็นได้ว่าสหรัฐมีผู้สนใจไปซื้อบ้านอยู่อาศัยหรือเก็งกำไรมากที่สุดแห่งหนึ่ง และแทบไม่มีประเทศใดเลือกซื้อบ้านในประเทศจีนเลย

6.ยิ่งกว่านั้นสหรัฐให้ต่างชาติซื้อขายขาดในกรณีที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับในประเทศไทย แต่ในจีนผู้ที่จะซื้อห้องชุดได้ ต้องเป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักในจีน ซื้อได้แบบเซ้งในระยะเวลา 70 ปีเท่านั้น ถ้าเป็นที่ดินเพื่อประกอบกิจการต่างๆ ก็อาจเป็น 30-50 ปีเท่านั้น ไม่ได้ขายขาดเช่นในนานาอารยประเทศ ประเทศที่มีกฎเกณฑ์แบบนี้ก็คงหาผู้คิดไปอยู่อาศัยด้วยได้ยาก

ประเด็นที่พึงพิจารณาก็คือ จีนพยายามอย่างยิ่งยวดในการ discredit สหรัฐและโฆษณาชวนเชื่อว่าจีนดีกว่า นี่เป็นสงครามข่าวสาร ที่จะทำให้เกิดความไม่น่าไว้วางใจแก่รัฐบาลจีนเองในฐานะที่เป็นจักรวรรดินิยมมุ่งขยายอิทธิพล และอาจมุ่งหวังครองโลกหรือครอบงำชาติอื่น ดังเช่นที่จีนเข้าไปครอบงำในกัมพูชา ลาว เมียนมา และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาและโอเชียเนีย

ประเทศไทยของเราจึงพึงสังวรและหาทางป้องกันการครอบงำจากจีน สิ่งที่รัฐบาลไทยพึงทำได้ก็คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการครอบงำจากจีน เช่น ห้ามใช้นอมินีซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใด โดยมีการปราบปรามอย่างจริงจังและมาตรการลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญา

อย่างไรก็ตาม ส่วนราชการในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งไทยมักมีการทุจริต จึงควรตรวจสอบส่วนราชการอย่างเคร่งครัดเช่นกัน

เราในฐานะคนไทยควรดูกรณีนี้เป็นตัวอย่าง จะได้ไม่ถูกหลอกลวงจากการโฆษณาชวนเชื่อซ้ำๆ และต้องระวังการเสียเอกราช (ทางเศรษฐกิจ) แก่จีน.