คิดดูแล้วกัน คำว่า ‘สวะ’ แค่ได้ยินก็กลิ่นแรงตลบแล้ว ฉะนี้คงหนีไม่พ้นพวกนี้ไปจนกว่า ไม่เพียงปิดสวิทช์ หรือตั้งรัฐบาลเสร็จ แต่ต้องปิดวุฒิสภานั่นเลยละ มิฉะนั้นบ้านเมืองจะต้องทนฟังความคิดงั่งๆ เป็นมลพิษต่อสมองไปอีกนาน
กรณี กิติศักดิ์ รัตนวราหะ ซึ่งน่าจะเป็น สว.ที่สถุลกว่าใครๆ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยคุณวุฒิด้อยกว่าเกณฑ์กำหนดขั้นต่ำ ที่เห็นมีวิพากษ์กันทางสื่อสังคมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ว่าเขาไม่ได้ผ่านการศึกษาขั้นปริญญาตรี
นั่นหมายถึงขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้องค์ประกอบวุฒิสภาไม่ได้มาตรฐานสูงส่งกว่านานาชาติตามที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ใฝ่ฝันในการเขียนรัฐธรรมนูญบรรจุองค์กรการเมืองแห่งนี้เอาไว้ แต่การที่กิติศักดิ์เที่ยวได้พูดแสดงความเห็นของตนนั่นต่างหาก
เขาพูดในรายการ ‘คุยนอกจอ’ ของ ‘กรรมกรข่าว’ ว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่เหมาะสมที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ “จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ” เนื่องจากแนวความคิดหลายอย่าง เช่นเกี่ยวกับการแก้ไข ม.๑๑๒
เขาเลยเถิดไปถึงว่าถ้าพิธาเป็นนายกฯ ประชาชนต่างจังหวัดที่รักสถาบันกษตริย์จะยกกันเข้ามา เกิดการนองเลือด การพูดแบบนี้มีลักษณะปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงอย่างชัดแจ้ง หากเป็นนักการเมืองจากการเลือกตั้ง คงต้องโดยสอยร่วงไปแล้ว
แถมอวดฉลาดว่าต้องมีการงดเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อให้รัฐบาลชาติ ‘sure’ ของเขานี้หลีกเลี่ยงหลักเกณฑ์ทางรัฐธรรมนูญไปได้ แต่อนิจจังความเขลาเมาอำนาจที่มาจากเขาสวมหัว ทั้งที่รู้ว่านี่ไม่ใช่ภาวะวิกฤตที่จะเรียกร้องรัฐบาลแห่งชาติได้
แนวคิดให้ละเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตราจึง ‘backfires’ ถีบกลับใส่หน้าตนเอง เมื่อ ดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง นักกฎหมายมหาชนแห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ชี้ว่าถ้าจะมีการระงับใช้รัฐธรรมนูญมาตราหนึ่งใดเพื่อการตั้งรัฐบาลละก็
ประชาชนส่วนใหญ่ย่อมต้องการให้งดใช้ บทเฉพาะกาลที่ระบุให้สมาชิกวุฒิสภา ‘ตู่ตั้ง’ มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรเสียมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น “ข้อเสนอของคุณจเด็จเนี่ย เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย” ไปแล้ว
(https://www.khaosod.co.th/politics/news_7692105 และ https://twitter.com/Jniisss_zJo/status/1664107720381964289)
