Thanapol Eawsakul
4h
หนังสือสถาบันกษัตริย์ ความจริงที่ถูกบิดเบือน ของอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ มีอันตราย
หนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นบทความที่ตีพิมพ์ลงในผู้จัดการออนไลน์นั่นแหละ
เราไม่ควรแค่บอกว่าหนังสือเล่มนี้ เขียนว่าอะไรเท่านั้นแต่ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้เขียนบิดเบือน หลักการราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรด้วย
เพราะหนังสือเล่มนี้จะทำให้อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ในฐานะ ผู้เชี่ยววชาญ พยานโจทก์คดี 112 มีความชอบธรรมที่จะกล่าวหา เพื่อเป็นความชอบธรรมให้ผู้ พิพากษา ตัดสินคดี 112
เช่นเดียวกับไชยยันต์ ไชยพร หรือเจษฎ์ โทณะวณิก
https://www.facebook.com/1551751431783222/posts/3094149994210017/
4h
หนังสือสถาบันกษัตริย์ ความจริงที่ถูกบิดเบือน ของอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ มีอันตราย
หนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นบทความที่ตีพิมพ์ลงในผู้จัดการออนไลน์นั่นแหละ
เราไม่ควรแค่บอกว่าหนังสือเล่มนี้ เขียนว่าอะไรเท่านั้นแต่ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้เขียนบิดเบือน หลักการราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรด้วย
เพราะหนังสือเล่มนี้จะทำให้อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ในฐานะ ผู้เชี่ยววชาญ พยานโจทก์คดี 112 มีความชอบธรรมที่จะกล่าวหา เพื่อเป็นความชอบธรรมให้ผู้ พิพากษา ตัดสินคดี 112
เช่นเดียวกับไชยยันต์ ไชยพร หรือเจษฎ์ โทณะวณิก
https://www.facebook.com/1551751431783222/posts/3094149994210017/
.....
Nithiwat Wannasiri
1h
หนังสือตอบโต้จากนักวิชาการฝ่ายขวา(ดร.ลูกบิด)
Via มิตรสหายท่านหนึ่ง
รีวิวเร็วๆ ข้ามไปอ่าน 10 ข้อท้ายได้
=====================
หมดเวลาไปราว 1 ชม.กว่า อ่านละเอียดบ้าง เปิดดูคร่าวๆ บ้าง
-เป็นงานวิเคราะห์รวบยอดความคิด ไม่ใช่งานวิชาการ บางช่วงพูดโดยใช้ข้อมูลมากหน่อย น้ำเสียงนิ่งๆ บางช่วงเป็นน้ำเสียงจิกกัด บางช่วงก็กล่าวหากลับรุนแรง เชิงอรรถมีอยู่บ้าง มีอ้างพอลแชมเบอร์ด้วย (เฉพาะจำนวนทหารเกณฑ์) สำหรับนักวิชาการอาจเห็นว่าไม่มีน้ำหนัก หรือมีจุดที่จะโต้แย้งเยอะมาก แต่สำหรับคนทั่วไปน่าจะอิ่มเอม
-โต้แย้งน่าจะครบทุกประเด็นสำคัญ เช่น (โดยสรุปคร่าวมาก)
>รากของ Constitutional Monarchy คือ "ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ" ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยซ้ำ หยิบยกรัฐธรรมนูญมาตราสำคัญๆ มาอธิบาย มีแง่มุมที่โต้แย้งในทางประวัติศาสตร์ได้มากมาย เพราะละเลยการปรับแก้รัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งแต่ละบริบทที่ฝ่ายขวาผงาดครองอำนาจหลัง 2475 มีการหยิบยกกรณีนักวิชาการแสดงความเห็นให้แก้มาตรา 1 ด้วย
>โต้แย้งเรื่องตั๋วช้างที่โรมอภิปรายว่า สตช.ทำเรื่องขึ้นไป ไม่ใช่ข้างบนทำเรื่องลงมา เป็นเรื่องปกติ และการซื้อขายตำแหน่งทำกันแค่ระดับ ผบ.ตร.ก็จบ ไม่จำเป็นต้องไกลกว่านั้น
>โต้แย้งเรื่องราชทัณฑ์ปันสุข ที่ปิยบุตรตั้งคำถามว่า นั่นเป็นราชการส่วนพระองค์ (royal affair) เพราะรัฐธรรมนูญก็แยกอยู่แล้วว่ากษัตริย์มีงาน 2 แบบ คือ งานราชการแผ่นดิน (government affair) กับ งานราชการส่วนพระองค์ และหลายๆ เป็นเรื่องงานส่วนพระองค์ที่มีสิทธิทำ
>โต้แย้ง 10 ข้อปฏิรูปสถาบัน โดยสรุปคือ เป็นการด้อยค่าสถาบัน จำกัดบทบาทและสิทธิอันมีอยู่แต่เดิม อยู่บนหลักคิดว่า อำนาจสูงสุดเป็นของกษัตริย์มาแต่ต้น เช่นกันกับแผ่นดินทั้งหมด จนมีรธน.ก็คือให้กษัตริย์ใช้อำนาจผ่านนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ
> โต้แย้งเรื่องสำนักทรัพย์สิน ปูไปถึงเรื่องพระคลังข้างที่สมัยร.5 การใช้เงินถุงแดงรศ.112 โดยสรุปคือ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นของราชวงศ์ที่จะส่งต่อให้กษัตริย์องค์ต่อไปเรื่อยๆ แต่ถูกคณะราษฎรดึงไป ปรับแก้กฎหมายไปให้กระทรวงการคลังดูแล มีการหาประโยชน์เข้าตัวด้วย การเอากลับมาดูแลจัดการเป็นเรื่องถูกต้อง เช่นกันกับวัดพระแก้ว สนามหลวง ก็เป็นของบูรพกษัตริย์ที่จะส่งต่อให้กษัตริย์องค์ต่อไป ครึ่งหนึ่งของสนามหลวงเป็นของ 'วังหน้า' จึงไม่ใช่สนามราษฎร์ ที่สำคัญ รัชกาลปัจจุบันมีการบริจาคที่ให้ประโยชน์สาธารณะเยอะมาก ส่วนรายได้ก็ยืนยันว่ามีการเสียภาษีเหมือนบุคคลธรรมดา
>โต้แย้งเรื่องหน่วยราชการในพระองค์ นี่ก็เป็น royal affair เช่นกัน งบไม่ได้มากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และ 95% เป็นเงินเดือนของข้าราชการในพระองค์ 14,500 คน
> โต้แย้งเรื่องการโอนกำลังพล ไม่ใช่การตั้งกองทัพส่วนพระองค์ตามกล่าวหา เพราะจำนวนแค่ 1.67% ของกำลังพลสี่เหล่าทัพ ไม่ได้เอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไป เพียงแต่ทำให้บริหารสะดวก งบประมาณที่ว่าไม่มีรายละเอียดจริงๆ แล้ว"มีการทำข้อมูลเปรียบเทียบคำของบประมาณสามปีติดต่อกัน เอกสารนี้ประทับตรา ลับมาก" และมี สตง.ตรวจสอบทั้งหมด
> โต้แย้งเรื่องโครงการพระราชดำริ อ้างอิงงานชนิดา ชิตย์บัณฑิต ว่ามีตั้ง 4,000 กว่าโครงการ เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยไหน ทรงงานหนักแค่ไหน และเมื่อมันสำเร็จก็บรรจุไปในงานของหน่วยงานเพื่อให้เป็นงานตามระบบปกติ
> โต้แย้งเรื่องงบกษัตริย์ อ้างอิงประชาไท บอกว่าตั้งใจตีฟูงบ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นงบของหน่วยงานราชการอื่นๆ จำนวนมาก
> โต้แย้งเรื่อง 112 ว่าจำเป็น และต้องครอบคลุมพระบรมวงศานุวงศ์ และรัชกาลก่อนด้วย เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ หยิบยกคำพิพากษาของศาลฎีกากรณีหมิ่น ร.4 ศาลตัดสินใจจำคุก 4 ปี (รับสารภาพเหลือ 2 ปี โทษรอลงอาญา ให้ทำงานสาธารณะประโยชน์)
>ชี้ให้เห็นถึง 'ขบวนการล้มเจ้า' ในโลกออนไลน์ และการสนับสนุนผ่านพรรคการเมือง (ไม่เอ่ยชื่อ)
ในบทนี้ส่วนที่ใหม่ที่สุด และน่าตื่นเต้นสุด เห็นจะเป็นการหยิบยกบทวิเคราะห์ 'ขบวนการล้มเจ้า' ของ 'เพื่อนนักวิชาการ' ที่ส่งมาให้ส่วนตัว มีความยาว 14 หน้า เพื่อบอกว่า อย่าประมาทขบวนการนี้ซึ่งมีจุดประสงค์เปลี่ยนให้เป็น Republic Thailand แม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก ยากมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ในระยะ 20-30 ปี หากขบวนการสามารถทำงาน 4 ประสานได้สำเร็จ ประกอบกับ establishment เพลี่ยงพล้ำ
มีการวิเคราะห์ความสำเร็จของขบวนการว่าขึ้นกับ "แม่น้ำ 4 สาย"
1. "ทีมเงิน" ต้องระดมทุนให้ได้อย่างต่ำ 30,000 ล้านบาท อาจต้องใช้ถึงแสนล้าน เรียกว่าต้องมี fund อยู่นอกประเทศและส่งท่อน้ำเลี้ยงเข้ามาเนียนๆ เพื่อซัพพอร์ตจุดอื่น
2. "ทีมแสง" ดึงเสียงของสลิ่มที่เบื่อ establishment ผ่านพรรคการเมืองที่เข้าสู่อำนาจให้ได้ ต้องมีลักษณะ elite แบบที่สลิ่มชอบ ดูเป็น "ความหวัง" และบูชาสถาบัน
3. "ทีมไฟ" เปิดหน้าชก เอาตัวเข้าแลก เข้าคุกตาราง ลี้ภัย หรือกระทั่งสละชีวิต ความท้าทายของทีมนี้คือต้องรักษาแรงไว้ไม่ให้มอด
4. "ทีมเงา" เรียกว่าเป็น key ของความสำเร็จ ต้องซื้อตำแหน่ง หรือทำยังไงก็ได้ ให้ส่งคนเข้าไปแทรกซึมในสายทหาร ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา รวมถึงข้าราชการมหาดไทยหรือท้องถิ่น เพื่อซัพพอร์ตทีมแสง
มีการวิเคราะห์ว่าขบวนการนี้มีแนวโน้มล่มสลาย ด้วย 10 ปัจจัย
(1) อุดมการณ์มีอยู่แต่แผ่วลง คนไม่ไหวกับระยะเวลายาวนาน ไปเที่ยวเล่น เล่นเกม ดู Netflix ดีกว่า แล้วเขียนเชียร์ในเฟซบุ๊กเอา
(2) รักษาความลับไม่อยู่ คนเดี๋ยวนี้เอะอะโพสต์ เอะอะโพสต์ ทุกเรื่อง
(3) ตามใจตัวเอง ทุกคนเป็นแกนนำ คิดไม่เหมือนกัน ทะเลาะกัน แตกเป็นกลุ่มย่อยๆ ตีกันเอง ทำให้ขบวนไม่น่าเชื่อถือ เคลื่อนต่อไม่ได้ ไม่มีเป้าใหญ่ร่วมกัน
(4) ไม่พร้อมสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์ คนในขบวนส่วนใหญ่ขี้ขลาดตาขาว หลอกใช้กันไปกันมา ยุยงอยู่หลังแกนนำ คิดว่าการด่าหรือโพสต์เฟซบุ๊กจะเปลี่ยนประเทศได้
(5) ปัญหาขัดแย้งภายในหรือหักหลังกันเองของแม่น้ำ 4 สาย
(6) เดินเกมพลาด ทีมแสงถูกยุบพรรค ทีมไฟถูกจับ ตาย หมดตัวเล่น ทีมเงาถูกจับได้ยิ่งหนัก
(7) การปรับตัวของ establishment หากมีการปรับตัวดีขึ้น หรือกระทั่งปฏิรูปตัวเอง ความหวังของขบวนการเป็นอันจบ
(8 )จุดสุกงอมไม่มี establishment ลำพังที่เป็นอยู่นี้ก็เรียกว่า ทรงๆ ยังไม่สามารถปลุกเร้าให้คนลุกขึ้นสู้เอาชีวิตแลก
(9) ทีมเงินถูกปิดหีบ ถ้าสืบทราบและ freeze ช่องทางการเงินได้ ทุกอย่างเคลื่อนยากลำบาก
(10) เปลี่ยนแนวคิดเรื่องรัฐชาติ ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเป็น global citizen ย้ายไปอยู่ประเทศไหนก็ได้ สอดคล้องกับที่อยากย้ายอยู่แล้ว ความรักชาติเป็นอันจบ ขบวนการก็จบเช่นกัน
=====
ปล.1 ก็อปต่อได้ ไม่ต้องอ้างอิง ไม่อยากดัง ช่วยไม่ก็อปตรง ปล.ได้ก็ดี
Nithiwat Wannasiri
1h
หนังสือตอบโต้จากนักวิชาการฝ่ายขวา(ดร.ลูกบิด)
Via มิตรสหายท่านหนึ่ง
รีวิวเร็วๆ ข้ามไปอ่าน 10 ข้อท้ายได้
=====================
หมดเวลาไปราว 1 ชม.กว่า อ่านละเอียดบ้าง เปิดดูคร่าวๆ บ้าง
-เป็นงานวิเคราะห์รวบยอดความคิด ไม่ใช่งานวิชาการ บางช่วงพูดโดยใช้ข้อมูลมากหน่อย น้ำเสียงนิ่งๆ บางช่วงเป็นน้ำเสียงจิกกัด บางช่วงก็กล่าวหากลับรุนแรง เชิงอรรถมีอยู่บ้าง มีอ้างพอลแชมเบอร์ด้วย (เฉพาะจำนวนทหารเกณฑ์) สำหรับนักวิชาการอาจเห็นว่าไม่มีน้ำหนัก หรือมีจุดที่จะโต้แย้งเยอะมาก แต่สำหรับคนทั่วไปน่าจะอิ่มเอม
-โต้แย้งน่าจะครบทุกประเด็นสำคัญ เช่น (โดยสรุปคร่าวมาก)
>รากของ Constitutional Monarchy คือ "ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ" ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยซ้ำ หยิบยกรัฐธรรมนูญมาตราสำคัญๆ มาอธิบาย มีแง่มุมที่โต้แย้งในทางประวัติศาสตร์ได้มากมาย เพราะละเลยการปรับแก้รัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งแต่ละบริบทที่ฝ่ายขวาผงาดครองอำนาจหลัง 2475 มีการหยิบยกกรณีนักวิชาการแสดงความเห็นให้แก้มาตรา 1 ด้วย
>โต้แย้งเรื่องตั๋วช้างที่โรมอภิปรายว่า สตช.ทำเรื่องขึ้นไป ไม่ใช่ข้างบนทำเรื่องลงมา เป็นเรื่องปกติ และการซื้อขายตำแหน่งทำกันแค่ระดับ ผบ.ตร.ก็จบ ไม่จำเป็นต้องไกลกว่านั้น
>โต้แย้งเรื่องราชทัณฑ์ปันสุข ที่ปิยบุตรตั้งคำถามว่า นั่นเป็นราชการส่วนพระองค์ (royal affair) เพราะรัฐธรรมนูญก็แยกอยู่แล้วว่ากษัตริย์มีงาน 2 แบบ คือ งานราชการแผ่นดิน (government affair) กับ งานราชการส่วนพระองค์ และหลายๆ เป็นเรื่องงานส่วนพระองค์ที่มีสิทธิทำ
>โต้แย้ง 10 ข้อปฏิรูปสถาบัน โดยสรุปคือ เป็นการด้อยค่าสถาบัน จำกัดบทบาทและสิทธิอันมีอยู่แต่เดิม อยู่บนหลักคิดว่า อำนาจสูงสุดเป็นของกษัตริย์มาแต่ต้น เช่นกันกับแผ่นดินทั้งหมด จนมีรธน.ก็คือให้กษัตริย์ใช้อำนาจผ่านนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ
> โต้แย้งเรื่องสำนักทรัพย์สิน ปูไปถึงเรื่องพระคลังข้างที่สมัยร.5 การใช้เงินถุงแดงรศ.112 โดยสรุปคือ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นของราชวงศ์ที่จะส่งต่อให้กษัตริย์องค์ต่อไปเรื่อยๆ แต่ถูกคณะราษฎรดึงไป ปรับแก้กฎหมายไปให้กระทรวงการคลังดูแล มีการหาประโยชน์เข้าตัวด้วย การเอากลับมาดูแลจัดการเป็นเรื่องถูกต้อง เช่นกันกับวัดพระแก้ว สนามหลวง ก็เป็นของบูรพกษัตริย์ที่จะส่งต่อให้กษัตริย์องค์ต่อไป ครึ่งหนึ่งของสนามหลวงเป็นของ 'วังหน้า' จึงไม่ใช่สนามราษฎร์ ที่สำคัญ รัชกาลปัจจุบันมีการบริจาคที่ให้ประโยชน์สาธารณะเยอะมาก ส่วนรายได้ก็ยืนยันว่ามีการเสียภาษีเหมือนบุคคลธรรมดา
>โต้แย้งเรื่องหน่วยราชการในพระองค์ นี่ก็เป็น royal affair เช่นกัน งบไม่ได้มากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และ 95% เป็นเงินเดือนของข้าราชการในพระองค์ 14,500 คน
> โต้แย้งเรื่องการโอนกำลังพล ไม่ใช่การตั้งกองทัพส่วนพระองค์ตามกล่าวหา เพราะจำนวนแค่ 1.67% ของกำลังพลสี่เหล่าทัพ ไม่ได้เอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไป เพียงแต่ทำให้บริหารสะดวก งบประมาณที่ว่าไม่มีรายละเอียดจริงๆ แล้ว"มีการทำข้อมูลเปรียบเทียบคำของบประมาณสามปีติดต่อกัน เอกสารนี้ประทับตรา ลับมาก" และมี สตง.ตรวจสอบทั้งหมด
> โต้แย้งเรื่องโครงการพระราชดำริ อ้างอิงงานชนิดา ชิตย์บัณฑิต ว่ามีตั้ง 4,000 กว่าโครงการ เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยไหน ทรงงานหนักแค่ไหน และเมื่อมันสำเร็จก็บรรจุไปในงานของหน่วยงานเพื่อให้เป็นงานตามระบบปกติ
> โต้แย้งเรื่องงบกษัตริย์ อ้างอิงประชาไท บอกว่าตั้งใจตีฟูงบ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นงบของหน่วยงานราชการอื่นๆ จำนวนมาก
> โต้แย้งเรื่อง 112 ว่าจำเป็น และต้องครอบคลุมพระบรมวงศานุวงศ์ และรัชกาลก่อนด้วย เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ หยิบยกคำพิพากษาของศาลฎีกากรณีหมิ่น ร.4 ศาลตัดสินใจจำคุก 4 ปี (รับสารภาพเหลือ 2 ปี โทษรอลงอาญา ให้ทำงานสาธารณะประโยชน์)
>ชี้ให้เห็นถึง 'ขบวนการล้มเจ้า' ในโลกออนไลน์ และการสนับสนุนผ่านพรรคการเมือง (ไม่เอ่ยชื่อ)
ในบทนี้ส่วนที่ใหม่ที่สุด และน่าตื่นเต้นสุด เห็นจะเป็นการหยิบยกบทวิเคราะห์ 'ขบวนการล้มเจ้า' ของ 'เพื่อนนักวิชาการ' ที่ส่งมาให้ส่วนตัว มีความยาว 14 หน้า เพื่อบอกว่า อย่าประมาทขบวนการนี้ซึ่งมีจุดประสงค์เปลี่ยนให้เป็น Republic Thailand แม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก ยากมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ในระยะ 20-30 ปี หากขบวนการสามารถทำงาน 4 ประสานได้สำเร็จ ประกอบกับ establishment เพลี่ยงพล้ำ
มีการวิเคราะห์ความสำเร็จของขบวนการว่าขึ้นกับ "แม่น้ำ 4 สาย" 1. "ทีมเงิน" ต้องระดมทุนให้ได้อย่างต่ำ 30,000 ล้านบาท อาจต้องใช้ถึงแสนล้าน เรียกว่าต้องมี fund อยู่นอกประเทศและส่งท่อน้ำเลี้ยงเข้ามาเนียนๆ เพื่อซัพพอร์ตจุดอื่น
2. "ทีมแสง" ดึงเสียงของสลิ่มที่เบื่อ establishment ผ่านพรรคการเมืองที่เข้าสู่อำนาจให้ได้ ต้องมีลักษณะ elite แบบที่สลิ่มชอบ ดูเป็น "ความหวัง" และบูชาสถาบัน
3. "ทีมไฟ" เปิดหน้าชก เอาตัวเข้าแลก เข้าคุกตาราง ลี้ภัย หรือกระทั่งสละชีวิต ความท้าทายของทีมนี้คือต้องรักษาแรงไว้ไม่ให้มอด
4. "ทีมเงา" เรียกว่าเป็น key ของความสำเร็จ ต้องซื้อตำแหน่ง หรือทำยังไงก็ได้ ให้ส่งคนเข้าไปแทรกซึมในสายทหาร ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา รวมถึงข้าราชการมหาดไทยหรือท้องถิ่น เพื่อซัพพอร์ตทีมแสง
มีการวิเคราะห์ว่าขบวนการนี้มีแนวโน้มล่มสลาย ด้วย 10 ปัจจัย (1) อุดมการณ์มีอยู่แต่แผ่วลง คนไม่ไหวกับระยะเวลายาวนาน ไปเที่ยวเล่น เล่นเกม ดู Netflix ดีกว่า แล้วเขียนเชียร์ในเฟซบุ๊กเอา
(2) รักษาความลับไม่อยู่ คนเดี๋ยวนี้เอะอะโพสต์ เอะอะโพสต์ ทุกเรื่อง
(3) ตามใจตัวเอง ทุกคนเป็นแกนนำ คิดไม่เหมือนกัน ทะเลาะกัน แตกเป็นกลุ่มย่อยๆ ตีกันเอง ทำให้ขบวนไม่น่าเชื่อถือ เคลื่อนต่อไม่ได้ ไม่มีเป้าใหญ่ร่วมกัน
(4) ไม่พร้อมสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์ คนในขบวนส่วนใหญ่ขี้ขลาดตาขาว หลอกใช้กันไปกันมา ยุยงอยู่หลังแกนนำ คิดว่าการด่าหรือโพสต์เฟซบุ๊กจะเปลี่ยนประเทศได้
(5) ปัญหาขัดแย้งภายในหรือหักหลังกันเองของแม่น้ำ 4 สาย
(6) เดินเกมพลาด ทีมแสงถูกยุบพรรค ทีมไฟถูกจับ ตาย หมดตัวเล่น ทีมเงาถูกจับได้ยิ่งหนัก
(7) การปรับตัวของ establishment หากมีการปรับตัวดีขึ้น หรือกระทั่งปฏิรูปตัวเอง ความหวังของขบวนการเป็นอันจบ
(8 )จุดสุกงอมไม่มี establishment ลำพังที่เป็นอยู่นี้ก็เรียกว่า ทรงๆ ยังไม่สามารถปลุกเร้าให้คนลุกขึ้นสู้เอาชีวิตแลก
(9) ทีมเงินถูกปิดหีบ ถ้าสืบทราบและ freeze ช่องทางการเงินได้ ทุกอย่างเคลื่อนยากลำบาก
(10) เปลี่ยนแนวคิดเรื่องรัฐชาติ ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเป็น global citizen ย้ายไปอยู่ประเทศไหนก็ได้ สอดคล้องกับที่อยากย้ายอยู่แล้ว ความรักชาติเป็นอันจบ ขบวนการก็จบเช่นกัน
=====
ปล.1 ก็อปต่อได้ ไม่ต้องอ้างอิง ไม่อยากดัง ช่วยไม่ก็อปตรง ปล.ได้ก็ดี
