“บิ๊กตู่” ได้จับมือ -พบหน้า “Joe Biden” ที่เขมร
ภาพจาก วาสนา นาน่วม
.....
ครอบครัวผู้สูญหายส่ง จม.เปิดผนึกถึง 'โจ ไบเดน' เรียกร้องไทย เวียดนาม กัมพูชาเร่งสืบสวนและชี้แจงความคืบหน้า
2022-11-12
ที่มา ประชาไท
สามครอบครัวผู้สูญหาย 'วันเฉลิม-สยาม-ชัชชาญ' ส่งจดหมายเปิดผนึก ถึงประธานาธิปดีสหรัฐฯ 'โจ ไบเดน' ในการประชุมผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ เรียกร้องรัฐบาลไทย เวียดนาม กัมพูชาเร่งการสืบสวนสอบสวนและชี้แจงความคืบหน้า
12 พ.ย. 2565 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมแจ้งว่าวันที่ 12-13 พ.ย. 2565 ที่จะถึงนี้ รายงานข่าวระบุว่านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางไปกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียน – สหรัฐอเมริกา (U.S.-ASEAN summit) เพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สืบเนื่องจากกรณีการบังคับสูญหายผู้ลี้ภัยไทยที่ประเทศเพื่อนบ้าน กรณีนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกบังคับให้สูญหายขณะที่อยู่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2563 กรณีนายสยาม ธีรวุฒิ ถูกบังคับให้สูญหายที่ประเทศเวียดนาม เมื่อปี 2562 และกรณีการฆาตกรรมนายชัชชาญ บุปผาวัลลย์ ซึ่งพบศพที่แม่น้ำโขง จ.นครพนม เมื่อปี 2561 ครอบครัวของผู้สูญหายและผู้เสียชีวิตทั้งสามครอบครัว ได้แก่ สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของวันเฉลิม กัญญา ธีรวุฒิ มารดาของสยาม และก่อการ บุปผาวัฎฎ์ ได้เดินหน้าทวงถามความยุติธรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในไทย กัมพูชา และเวียดนาม ตามแต่ละกรณี ซึ่งทั้งสามครอบครัวปัจจุบันประสบกับความไม่คืบหน้าในการค้นหาความจริงและการติดตามเรื่องที่ได้ร้องเรียนไปกับหน่วยงานต่าง ๆ มักเป็นไปอย่างล่าช้าทั้งมักไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมแต่อยางใด
ในวาระที่ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางไปกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหรัฐอเมริกา วันที่ 12-13 พ.ย. 2565 ที่จะถึงนี้ครอบครัวของผ้สูญหาย สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ กัญญา ธีรวุฒิ และก่อการ บุปผ่วัฎฎ์ จะส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายโจ ไบเดน เพื่อเรียกร้องให้นายโจ ไบเดน ย้ำเตือนรัฐบาลไทย กัมพูชา และเวียดนาม ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกรณีการบังคับบุคคลสูญหายและการฆาตรกรรมผู้ลี้ภัยไทยทั้งสาม รวมถึงกรณีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ล่าช้า และแจ้งให้ครอบครัวของผู้สูญหายได้รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน รวมถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกรณีทั้งหมด อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรมต่อไป
12 พ.ย. 2565 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมแจ้งว่าวันที่ 12-13 พ.ย. 2565 ที่จะถึงนี้ รายงานข่าวระบุว่านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางไปกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียน – สหรัฐอเมริกา (U.S.-ASEAN summit) เพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สืบเนื่องจากกรณีการบังคับสูญหายผู้ลี้ภัยไทยที่ประเทศเพื่อนบ้าน กรณีนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกบังคับให้สูญหายขณะที่อยู่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2563 กรณีนายสยาม ธีรวุฒิ ถูกบังคับให้สูญหายที่ประเทศเวียดนาม เมื่อปี 2562 และกรณีการฆาตกรรมนายชัชชาญ บุปผาวัลลย์ ซึ่งพบศพที่แม่น้ำโขง จ.นครพนม เมื่อปี 2561 ครอบครัวของผู้สูญหายและผู้เสียชีวิตทั้งสามครอบครัว ได้แก่ สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของวันเฉลิม กัญญา ธีรวุฒิ มารดาของสยาม และก่อการ บุปผาวัฎฎ์ ได้เดินหน้าทวงถามความยุติธรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในไทย กัมพูชา และเวียดนาม ตามแต่ละกรณี ซึ่งทั้งสามครอบครัวปัจจุบันประสบกับความไม่คืบหน้าในการค้นหาความจริงและการติดตามเรื่องที่ได้ร้องเรียนไปกับหน่วยงานต่าง ๆ มักเป็นไปอย่างล่าช้าทั้งมักไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมแต่อยางใด
ในวาระที่ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางไปกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหรัฐอเมริกา วันที่ 12-13 พ.ย. 2565 ที่จะถึงนี้ครอบครัวของผ้สูญหาย สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ กัญญา ธีรวุฒิ และก่อการ บุปผ่วัฎฎ์ จะส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายโจ ไบเดน เพื่อเรียกร้องให้นายโจ ไบเดน ย้ำเตือนรัฐบาลไทย กัมพูชา และเวียดนาม ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกรณีการบังคับบุคคลสูญหายและการฆาตรกรรมผู้ลี้ภัยไทยทั้งสาม รวมถึงกรณีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ล่าช้า และแจ้งให้ครอบครัวของผู้สูญหายได้รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน รวมถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกรณีทั้งหมด อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรมต่อไป
9 พฤศจิกายน 2565
ประธานาธิบดี โจเซฟ อาร์ ไบเดน จูเนียร์
ทำเนียบขาว
กรุงวอชิงตัน ดีซี
เรื่อง เรียกร้องให้ติดตามการสืบสวนสอบสวนกรณีนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
เรียน ประธานาธิบดีไบเดน
ดิฉัน นางสาวสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นประชาชนไทยและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ดิฉันเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อกล่าวถึงการบังคับบุคคลสูญหายในกรณี นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเหตุที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง ดิฉันเป็นพี่สาวของวันเฉลิม ซึ่งเขาได้ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาหลังจากการรัฐประหารปี 2557 ในประเทศไทย ต่อมา วันเฉลิมได้ถูกบังคับให้สูญหายเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ที่บริเวณหน้า แม่โขง การ์เดน คอนโดมิเนียม กรุงพนมเปญ ดิฉันมีความวิตกกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับชะตากรรมของเขาจนถึงทุกวันนี้ ในระหว่างที่ท่านจะได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำอาเซียน – สหรัฐฯ และเอเชียตะวันออก ณ กรุงพนมเปญในวันที่ 12-13 พฤศจิกายน 2565 นี้ ดิฉันขอเรียกร้องให้ท่านกล่าวถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในกรณีดังกล่าวในระหว่างการประชุม โดยเฉพาะต่อรัฐบาลกัมพูชา เพื่อให้รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการชี้แจงถึงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนการถูกบังคับสูญหายของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ และคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของดิฉันโดยไม่ล่าช้า
นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ น้องชายของดิฉัน เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังถูกตั้งข้อกล่าวหาทางอาญาหลายครั้ง วันเฉลิมลี้ภัยจากไทยไปอาศัยที่กัมพูชาตั้งแต่ปี 2557 หลังรัฐประหาร มีหลักฐานมากมายยืนยันการมีตัวตนและการอยู่อาศัยของวันเฉลิมในกรุงพนมเปญ แม้ว่าในช่วงแรกรัฐบาลกัมพูชาจะให้การปฏิเสธ เหตุการณ์บังคับสูญหายวันเฉลิมเกิดขึ้นต่อหน้าสาธารณชนในตอนกลางวันแสก ๆ ที่บริเวณหน้าแม่โขง การ์เดน คอนโดมิเนียมที่เขาพักอาศัยอยู่ มีบันทึกภาพกล้องวงจรปิดที่บ่งชี้ถึงยานพาหนะที่พาตัวเขาไป เลขป้ายทะเบียนรถยนต์ดังกล่าว และพยานผู้เห็นเหตุการณ์มากมาย ดิฉันเองอยู่ในเหตุการณ์เนื่องจากกำลังโทรศัพท์คุยกับวันเฉลิมในขณะเกิดเหตุนั้น หลังจากเหตุการณ์ ฉันได้ปรึกษากับทีมทนายความและเริ่มดำเนินการค้นหาความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของวันเฉลิม เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัว ดิฉันได้ร้องเรียนทั้งกับทางการไทยและกัมพูชา ในส่วนของทางการไทย เราได้ยื่นหนังสือขอให้สืบสวนสอบสวนการหายตัวไปของวันเฉลิม ทั้งต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสุด กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สหประชาชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ และในส่วนของทางการกัมพูชา เราได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรมไปเมื่อเดินกรกฎาคม 2563 และในเดือนธันวาคม 2563 ดิฉันได้เดินทางไปให้ข้อมูลต่อศาลชั้นต้นกรุงพนมเปญตามหมายเรียก และยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรและเอกสารพยานหลักฐานจำนวน 177 หน้าต่อผู้พิพากษาไต่สวน ซึ่งยืนยันว่าจะดำเนินการสืบสวนกรณีของวันเฉลิมต่อไป จนปัจจุบันถือเป็นเวลามากกว่า 2 ปีแล้วที่ครอบครัวของดิฉันยังไม่ได้รับทราบชะตากรรมหรือข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนอีกเลย
แม้ว่ากรณีของวันเฉลิมจะได้สร้างพลังในการออกมาเคลื่อนไหวของคนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งเป็นขบวนการที่ผลิบานเป็นพิเศษในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าเรื่องของวันเฉลิมจะถูกลืมไปและทิ้งไว้เพียงบรรยากาศความเงียบงัน ขณะที่ครอบครัวของเรายังคงทุกข์ทรมานอยู่ทุกวินาทีจากวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดในสังคมไทย พวกเรารู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพังในอดีตอันเจ็บปวด เราได้ให้ข้อเท็จจริงและข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับกรณีของวันเฉลิมต่อทุกภาคส่วนอย่างแข็งขันมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอ ทั้งผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ยังได้ทำลายทั้งความหวัง จิตวิญญาณ ไปจนความพยายามในการใช้ชีวิตตามปกติของพวกเราอย่างสาหัส
ในการนี้ ด้วยพันธกรณีของท่านในฐานะผู้นำแห่งสหรัฐอเมริกาต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราขอเรียกร้องให้ท่านแจ้งเตือนรัฐบาลกัมพูชาในภารกิจหรือพันธกิจที่กัมพูชามีต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) ซึ่งกัมพูชาเข้าเป็นภาคีในปี 2556 โดยจะต้องออกมาตรการรับรองว่ากรณีของนายวันเฉลิมจะได้รับการสืบสวนสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ล่าช้าอีกต่อไป และเพื่อให้ครอบครัวของเราซึ่งเป็นผู้มีสิทธิโดยชอบธรรมได้รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน รวมถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกรณีทั้งหมด อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรม
ด้วยความเคารพนับถือ
นางสาวสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
ครอบครัวของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
.....
9 พฤศจิกายน 2565
ประธานาธิบดี โจเซฟ อาร์ ไบเดน จูเนียร์
ทำเนียบขาว
กรุงวอชิงตัน ดีซี
เรื่อง เรียกร้องให้ติดตามการสืบสวนสอบสวนกรณีนายสยาม ธีรวุฒิ
เรียน ประธานาธิบดีไบเดน
ดิฉัน นางกัญญา ธีรวุฒิ เป็นประชาชนไทยและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ดิฉันเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อกล่าวถึงการบังคับบุคคลสูญหายในกรณี นายสยาม ธีรวุฒิ ซึ่งเป็นเหตุที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง ดิฉันเป็นมารดาของสยาม ซึ่งเขาได้ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านหลังจากการรัฐประหารปี 2557 ในประเทศไทย ต่อมา สยามได้ถูกบังคับให้สูญหายเมื่อในเดือนพฤษภาคม 2562 หลังจากผู้ลี้ภัยคนหนึ่งแพร่กระจายข่าวผ่านช่องทางยูทูบว่า ‘สยาม’ และ ‘ชูชีพ ชีวะสุทธิ์’ หรือ ‘ลุงสนามหลวง’ พร้อมผู้ติดตามอีกคนหนึ่ง ถูกจับกุมตัวที่เวียดนาม และถูกส่งตัวกลับไทยแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครพบเจอบุตรชายของดิฉันและผู้สูญหายในคราวเดียวกันทั้งสองคนอีกเลย และแม้ดิฉันจะได้ดำเนินการตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายแต่จวบจนบัดนี้ดิฉันยังคงไม่ทราบชะตากรรมของบุตรชายหรือแม้แต่ความคืบหน้าในการค้นหาความจริงของทางการไทยหรือเวียดนาม ในระหว่างที่ท่านจะได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำอาเซียน – สหรัฐฯ และเอเชียตะวันออก ในวันที่เดือนพฤศจิกายน 2565 นี้ ดิฉันขอเรียกร้องให้ท่านกล่าวถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในกรณีดังกล่าวในระหว่างการประชุม โดยเฉพาะต่อรัฐบาลไทยและเวียดนาม เพื่อให้ทางการทั้งสองประเทศดำเนินการชี้แจงถึงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนการถูกบังคับสูญหายของนายสยาม ธีรวุฒิ และคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของดิฉันโดยไม่ล่าช้า
นายสยาม ธีรวุฒิ บุตรชายของดิฉัน เป็นนักกิจกรรมทางการเมือง เขาเป็นเพียงคนหนุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเกิดของเขาให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น สยายมต้องออกจากประเทศตอนอายุ 29 ปี ภายหลังการรัฐประหาร 2557 เพราะมีการรื้อฟื้นทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เหตุแห่งคดีคือ ละครเวทีเจ้าสาวหมาป่า ซึ่งสยามได้ร่วมแสดง ขณะที่เพื่อนนักแสดงคนอื่น ๆ ถูกจับกุมตัวและต้องจำคุก หลังจากสยามลี้ภัย ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 ‘เพียงดิน รักไทย’ ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งแพร่กระจายข่าวผ่านช่องทางยูทูบว่า ‘สยาม’ และ ‘ชูชีพ ชีวะสุทธิ์’ นักจัดรายการวิทยุใต้ดินชื่อดัง พร้อมผู้ติดตามอีกคนหนึ่ง ถูกจับกุมตัวที่เวียดนาม และถูกส่งตัวกลับไทยแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่พบตัวทั้งสามคนอีกเลย
หลังจากเหตุการณ์ ดิฉันได้เดินหน้าค้นหาความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของสยามเพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัว ดิฉันได้ร้องเรียนทั้งกับทางการไทยและเวียดนาม ในส่วนของทางการไทย ได้เแก่ กองบังคับการปราบปราม กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล คณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รวมถึง สํานักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ สำหรับทางการเวียดนาม ดิฉันได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงสถานทูตเวียดนามประจำประเทศไทย ซึ่งไม่มีการส่งผู้แทนออกมารับหนังสือหรือตอบกลับดิฉัน ทั้งรัฐบาลเวียดนามยังได้ทำหนังสือตอบกลับถึงคณะทำงานว่าด้วยการสูญหายโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ (WGEID) ให้ยุติเรื่องร้องเรียนของสยามอีกด้วย จนปัจจุบันถือเป็นเวลามากกว่า 3 ปีแล้วที่ครอบครัวของดิฉันยังไม่ได้รับทราบชะตากรรมหรือข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนอีกเลย
แม้ว่าดิฉันจะรอคอยการกลับมาของบุตรชายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เราจัดงานวันเกิดให้สยามทุกปี ดิฉันยังพยายามดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อในวันที่สยามกลับมาเขาจะได้พบกับแม่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากวันที่เขาหายไป ดิฉันยังคงร่วมและจัดงานรณรงค์เกี่ยวกับผู้สูญหายอย่างสม่ำเสมอ แต่ในห้วงเวลานี้ดูเหมือนว่าเรื่องราวของหลายคนจะเริ่มเจือจางลงไปทุกปี ไม่มีป้ายรณรงค์แบบใหม่อีกแล้ว เราเพียงใช้ภาพเดิม ๆ งานเก่า ๆ ทำหนังสือไปยังหน่วยงานตามที่ได้กล่าวถึงวนเวียนไปตามวาระโอกาสของทุก ๆ ปี เสมือนเดินวนอยู่ในเขาวงกตตรงกลางระหว่างไทยและเวียดนามที่ไม่มีวันรู้ว่าเมื่อไรดิฉันจะได้ทราบความจริงเกี่ยวกับบุตรชายของดิฉันเสียที
ปัจจุบัน สยาม ธีรวุฒิ ได้รับการขึ้นบัญชีเป็นบุคคลสูญหายของสหประชาชาติ ตามกลไกของคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจขององค์การสหประชาชาติ (UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearance –WGEID) ที่ประเทศเวียดนามแล้ว สยามจึงถือเป็นกรณีที่ต้องติดตามความคืบหน้าเพือสืบหาความจริง ในการนี้ ด้วยพันธกรณีของท่านในฐานะผู้นำแห่งสหรัฐอเมริกาต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราขอเรียกร้องให้ท่านเน้นย้ำและแจ้งเตือนรัฐบาลไทยและเวียดนามให้เร่งติดตามความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนการกระทำให้บุคคลสูญหายนายสยาม ธีรวุฒิรวมถึงผู้สูญหายในคราวเดียวกันอีกสองราย โดยทางการไทยและเวียดนามจะต้องออกมาตรการรับรองว่ากรณีของสยาม ธีรวุฒิจะได้รับการสืบสวนสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ล่าช้า และชี้แจงครอบครัวของดิฉันซึ่งเป็นผู้มีสิทธิโดยชอบธรรมให้รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน รวมถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกรณีทั้งหมด อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรม
ด้วยความเคารพนับถือ
นางกัญญา ธีรวุฒิ
ครอบครัวของสยาม ธีรวุฒิ
.....
8 พฤศจิกายน 2565
ประธานาธิบดี โจเซฟ อาร์ ไบเดน จูเนียร์
ทำเนียบขาว
วอชิงตัน ดีซี
เรื่อง เรียกร้องให้ติดตามการสืบสวนสอบสวนกรณีการฆาตกรรมนายชัชชาญ บุปผาวัลย์
เรียน ประธานาธิบดีไบเดน
ข้าพเจ้า นายก่อการ บุปผาวัฏฏ์ เป็นประชาชนไทยและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อกล่าวถึงกรณีการฆาตกรรมนายชัชชาญ บุปผาวัลย์ บิดาของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่อุกอาจและโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง บิดาของข้าพเจ้าได้ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ที่ประเทศลาว หลังจากการรัฐประหารปี 2557 ในประเทศไทย ต่อมาได้สูญหายไปในเดือนธันวาคม 2561 พร้อมกับสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และ ไกรเดช ลือเลิศ ต่อมาพบร่างของชัชชาญและไกรเดชลอยมาตามแม่น้ำโขง ที่จ.นครพนม โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นยังอยู่ในการสืบสวนสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิดมาตลอด จนล่าสุด คดีค้างอยู่ที่การสืบสวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากฝั่งลาว ในระหว่างที่ท่านจะได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำอาเซียน – สหรัฐฯ และเอเชียตะวันออก ณ กรุงพนมเปญในวันที่ 12-13 พฤศจิกายน 2565 นี้ ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้ท่านกล่าวถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในกรณีดังกล่าวในระหว่างการประชุม โดยเฉพาะต่อรัฐบาลไทย เพื่อให้รัฐบาลไทยดำเนินการชี้แจงถึงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนการฆาตกรรมนายชัชชาญ บุปผาวัลย์ บิดาของข้าพเจ้า และคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของข้าพเจ้าโดยไม่ล่าช้า
นายชัชชาญ บุปผาวัลย์ บิดาของข้าพเจ้า เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ชัชชาญเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในช่วง พ.ศ. 2551 และมีบทบาทในขบวนการเสื้อแดงมาตลอดจนหลังรัฐประหารปี 2557 ชัชชาญมีชื่อถูกเรียกตัวเข้าพบคสช. และตัดสินใจลี้ภัยในประเทศลาว หลังลี้ภัยออกนอกประเทศ ชัชชาญยังคงติดต่อกับข้าพเจ้าและครอบครัวอยู่ จนในเดือนธันวาคม 2561 ข้าพเจ้าขาดการติดต่อกับบิดาและได้รับข่าวว่าพบร่างผู้เสียชีวิต 2 ศพลอยอยู่ที่แม่น้ำโขงบริเวณจังหวัดนครพนม จากการติดต่อประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบคดี จากการพิสูจน์ DNA จึงพบว่าหนึ่งในศพดังกล่าวคือศพของบิดาของข้าพเจ้า ในการสืบสวนสอบสวนค้นหาความจริงระยะแรก ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ไปให้ปากคำ แต่ไม่มีพยานยืนยันในเหตุการณ์เลย เนื่องจากไม่มีใครกล้ายืนยันที่อยู่ ด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเอง นอกจากนี้ ครอบครัวของข้าพยังได้ไปร้องเรียนที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งได้ร่วมกันประสานงานนำเรื่องร้องเรียนส่งต่อไปยังคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน คดียังคงไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม ถือเป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้วที่ครอบครัวของข้าพเจ้ายังไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการฆาตกรรมบิดาของข้าพเจ้าหรือข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนอีกเลย
แม้ว่ากรณีของชัชชาญ บุปผาวัลย์จะแตกต่างจากกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายต่อผู้ลี้ภัยชาวไทยคนอื่น ๆ อีก 9 คน เนื่องจากมีการพบศพจึงถือเป็นการฆาตกรรม และได้มีการส่งเรื่องให้สถานีตำรวจเจ้าของคดีดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อ แต่ดูเหมือนการระบุตัวผู้กระทำผิดไปจนถึงการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษนั้นจะเป็นไปได้ยากยิ่ง ทั้งครอบครัวของข้าพเจ้ายังไม่ได้รับการติดต่อเพื่อชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการอย่างสม่ำเสมอจากทางการไทย ข้าพเจ้าและครอบครัวจึงมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าการเสียชีวิตของบิดาของข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะถูกลบเลือนลืมหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์สังคมไทย สานต่อวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดเป็นความเสี่ยงต่อบุคคลอื่นต่อไปในอนาคต
ในการนี้ ด้วยพันธกรณีของท่านในฐานะผู้นำแห่งสหรัฐอเมริกาต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราขอเรียกร้องให้ท่านเน้นย้ำและแจ้งเตือนรัฐบาลไทยให้เร่งสืบสวนสอบสวนคดีการฆาตกรรมนายชัชชาญ บุปผาวัลย์และนายไกรเดช ลือเลิศ รวมถึงกรณีการบังคับบุคคลในสูญหายกรณีอื่น ๆ โดยจะต้องแสดงความจริงใจในการค้นหาความจริงต่อคดีการฆาตกรรมบิดาของข้าพเจ้า รับรองครอบครัวของข้าพเจ้าว่าการสืบสวนสอบสวนจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ล่าช้า และชี้แจงผลของการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ครอบครัวของข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้มีสิทธิโดยชอบธรรมได้รับทราบอย่างต่อเนื่องในแต่ละขั้นตอน ทั้งนี้ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและยุติการลอยนวลพ้นผิดในสังคมไทยต่อไป
ด้วยความเคารพนับถือ
นายก่อการ บุปผาวัฎฎ์
ครอบครัวของชัชชาญ บุปผาวัลย์