วันอาทิตย์, ธันวาคม 06, 2563

“ครั้งแรกในประวัติศาสตร์” เรียกร้องยกเลิก ๑๑๒ ระหว่างถ่ายทอดสดราชพิธีจุดเทียนมงคลถวาย ร.๙


“ครั้งแรกในประวัติศาสตร์” อย่างที่ Wassana Nanuam ประโคมละสิ ๕ ธันวาปีนี้ เป็นทั้ง วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ ที่ในหลวง-พระราชินีทรงจุดเทียนมหามงคลถวาย ร.๙ โดยมีพระเจ้าลูกยาเธอสองพระองค์ และ “เจ้าคุณพระสินีนาฎฯ โดยเสด็จฯ ด้วย”

หลายๆ ภาพที่แพร่จากพระราชพิธี Andrew MacGregor Marshall อธิบายว่า “Awkward” ขณะที่มีประโยคซึ่งชาวเน็ตติเซ็นเรียกว่า “สามคนผัวเมีย” ผุดขึ้นที่โน่นที่นี่ทั่วหน้าสื่อโซเชียล ดู เคอะเขิน เช่นกัน 

จนสิ่งที่เป็นประวัติการณ์จริงๆ สำหรับงานเมื่อคืน กลับเป็นการที่มีประชาชนจำนวนมาก เข้าไปโพสต์คอมเม้นต์บนเพจวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา ระหว่างการถ่ายทอดสดพระราชพิธีจุดเทียนมหามงคลนี้ ข้อความเหล่านั้นเป็นข้อเรียกร้องให้ “ยกเลิก ๑๑๒” และ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” เกือบทั้งสิ้น

เว้นแต่บางรายบอกให้ “ยกเลิกสถาบันกษัตริย์” แทน จนทำให้กองอำนวยการโกลาหล พยายามที่จะลบโพสต์เหล่านั้นก็ไม่ได้ ไล่ไม่ทันเพราะมันมากันถี่รัวๆ ไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งเสร็จพิธีนั่นแหละ จึงสามารถ “สั่งลบคลิปบันทึกย้อนหลังทิ้ง”


นี่คือปรากฏการณ์ยุค ร.๑๐ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเรียกร้องหาประชาธิปไตยที่แท้จริง อันมุ่งหมายถึงเสรีภาพในการดำเนินชีวิตของปัจเจกชน โดยเฉพาะคนรุ่นแตกเนื้อหนุ่มสาว ที่ชาวไทยล้าหลังยังเรียกว่า เด็กเพราะอยู่ในวัยเล่าเรียน

เป็นการชุมนุมเรียกร้องสิทธิต่างๆ เหนือร่างกาย เสื้อผ้าหน้าผม ของคนวัยสิบสี่สิบห้าถึงยี่สิบกว่าๆ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผสมผสานและช่วยเสริมด้วยคนวัยทั้งแก่กว่านั้นและอ่อนกว่านั้น มันครอบคลุมไปถึงสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง และการแสดงความคิดเห็น

โดยไปมีศูนย์รวมอยู่กับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมสามสิ่ง คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้มาซึ่งการเลือกตั้งที่ไม่ใช่ให้ประโยชน์แก่กลุ่มนักยึดอำนาจ ดังนั้นนายกรัฐมนตรีคนนี้จะต้องออกไปเพื่อเปิดทาง พร้อมไปกับการแก้ไขเรื่องพระราชอำนาจของประมุข

หากแต่ผลแห่งการที่ผู้กุมอำนาจรัฐ ประสานกับการเพิ่มพูนอำนาจกษัตริย์ นำเอากฏหมายร้ายแรงชนิด ‘draconian’ มาจัดการกับผู้ที่แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ในกรอบสิทธิมนุษยชน ภายใต้รัฐธรรมนูญและหลักอารยะสากล

ความไม่พอใจและฮึดสู้จากคนรุ่นใหม่ แม้ยังคงรักษาหลัก สันติและอหิงสา ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นท่ามกลางการยั่วยุ ก้าวร้าวอย่างหนักจากฝักฝ่ายที่อ้างตัวว่าจงรักภักดีต่อราชวงศ์ และมีความรักชาติมากกว่า ทำให้ความมุ่งมั่นต่อการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงยิ่งแข็งขันมากขึ้น


ปรากฏการณ์ที่ใหม่จริงและน่าทึ่งมากกว่า การที่พระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนมงคลถวายพระราชบิดา ดังวาสนาบรรยาย ก็คือการที่นานาอารยะประเทศได้เห็นความไม่สมดุลในสังคมไทย ในทางที่จะก่อเกิดการทำลายล้างจากฝ่ายกุมอำนาจและกำอาวุธ

ก่อให้เกิดการตั้งข้อสังเกตุ กังขา และจะนำไปสู่การเรียกร้องให้รัฐไทยภายใต้ระบบ ขุนศึก/ศักดินาหันเข้าหากรอบความอารยะอย่างสากลนิยม ข้อเรียกร้องในรัฐสภาเยอรมนี ข้อเสนอร่างกฎหมายในรัฐสภาสหรัฐ จะนำไปสู่ข้อเรียกร้องจากองค์การสหประชาชาติในไม่ช้า

ณ เวลานี้มีรายงานจากผู้ตรวจการพิเศษสหประชาชาติสามสาย แจ้งว่ารัฐบาลไทยและสถาบันประมุข ได้ทำการละเมิดเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ละเลยการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น และละเว้นการปกป้องสิทธิมนุษยชน

ผลแห่งการที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการจับกุมและดำเนินคดีบรรดาแกนนำเยาวชนปลดแอก และคณะราษฎร ๖๓ “การตั้งข้อหากับนักกิจกรรมเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดมาตรา ๑๙ และ ๒๑ ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง”

รายงานจากผู้ตรวจการพิเศษได้ถูกนำลงตีพิมพ์บนเว็บไซต์ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อประกาศต่อประชาคมเสรีของโลก และจะมีการ “นำเสนอต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ” พิจารณาออกมาตรการต่อไป

องค์การฯ ได้มีหนังสือแสดง ความกังวลถึงรัฐบาลไทยแล้ว ๓ ฉบับก่อนหน้านี้ โดยรายงานล่าสุดให้เวลารัฐบาลไทยตอบภายใน ๖๐ วัน ก่อนที่องค์การฯ จะดำเนินมาตรการอย่างใดๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลไทยยังคงปฏิบัติการ กดดัน ฝ่ายเรียกร้องต่อไป

การประชาสัมพันธ์ด้านเดียว ไม่ว่าในส่วนที่เกี่ยวกับองค์พระประมุข จะ ทรงพระเจริญ เพียงไหน หรือมีโพล ยกยอจาก นพดล กรรณิกา ออกมาต้านกระแส ยี้อ้างว่ามีความพอใจให้ บิ๊กตู่นั่งเป็นนายกฯ ต่อไป ถึง ๘๐% “ไม่เห็นใครเหมาะเป็นแทน”

นั้นแสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารถต้านความรู้สึกเหลืออดในหมู่ประชาชนคนรุ่นใหม่ที่มุ่งหวังความก้าวหน้าในอนาคตของพวกตนได้ ปรากฏการณ์ระหว่างถ่ายทอดสดคืนวันจุดเทียนมหามงคลเป็นลางบอกเหตุ

(https://tlhr2014.com/?p=23748 และ https://www.facebook.com/WassanaJournalist/posts/3645534082171690)