สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองไม่เห็นโคลนตม อีกคนว่าถ้าใครเห็นอาจมก็บอกมา นั่นละ สอง ป.ผู้ครองเมืองเลื่องระบือ คนพี่เอาเชียว “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร” บ่อนลงบ่อนลอยอยู่ตรงไหน คนน้องทำไขสือชี้หน้านักข่าว อ้างเขากำลังสอบอยู่ นะ
โควิดก็ส่วนโควิดละ ถึงจะยังไม่หนักหนา แต่มันก็แพร่ขยายไปทุกวัน ขนาดว่า ศอค.เตือนกลางเดือนหน้า อาจมีติดเชื้อวันละหมื่นแปด ถ้ายังไม่มีมาตรการสกัดเด็ดขาด ก็ไม่รู้นั่นจะมาจากเค้าท์ดาวน์ที่ไอค่อนสยามสักกี่ร้อยกี่พัน
ถึงวันนี้รัฐบาลยังคงผลักมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว และออกไปช้อปปิ้งกันมากๆ เพิ่งหันไปยึดหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ถ้าคนจับจ่ายมากขึ้น การเงินก็สะพัดหมุนเวียน กระพือธุรกิจให้เศรษฐกิจกระชุ่มกระชวย ลืมนึกไปว่าปัญหาอยู่ที่ประชากร ‘บ่จี๊’
เขาคงนึกว่า “ประเทศนี้ร่ำรวยกันจริงๆ” อย่าง อจ. Puangthong Pawakapan ชี้ “งานการไม่ต้องทำ หนังสือไม่ต้องเรียน หยุดเที่ยวเล่นกันทั้งปี” เพราะรัฐบาลเพิ่มวันหยุดในปีหน้าอีกกว่าเท่าตัว กระโดดจาก ๑๓ วัน เป็น ๒๙ วันแล้วเนี่ย
ไม่แค่นั้น ฝ่ายค้านถามเรื่องที่ชวนประชาชนลงทุนช่วยคิดค้นผลิตวัคซีนแก้โควิดใช้เอง เพราะของแอสตร้าเซเนก้าที่จะได้รับรองทางแพทย์ในอังกฤษอาทิตย์หน้า มาถึงไทยทำท่าจะแพงหูฉี่ เขาเสนอว่า “ถ้ารัฐบาลตัดงบเหล่านี้ ประเทศไทยจะมีวัคซีนเพียงพอสำหรับทุกคน”
งบฯ อะไรหรือ อ๋อ รถไฟฟ้าเชื่อมสามสนามบินกว่าแสนล้าน เรือดำน้ำ ๒๒,๕๐๐ ล้าน รถยานเกราะ ๙,๑๐๐ ล้าน ยานอวกาศไปดวงจันทร์ ๓ พันล้าน เงินเดือน สว. ๖๘๑ ล้าน งบทำซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ๓๘๑ ล้าน และยังต้องเอาไปสู้คดีเหมืองทองแทนตู่อีก ๓๐๐ ล้าน
เท่านั้นไม่พอ กองทัพอากาศหมู่นี้ฟิตใหญ่ ไหนจะซื้อเฮลิค้อปเตอร์ชุดใหม่ไว้รับส่งเชื้อพระวงศ์ แล้วยังกำลัง “จัดซื้อดาวเทียม ๒ ดวง พร้อมสถานีภาคพื้น ในงบ ๑.๔ พันล้านในช่วงเศรษฐกิจไทยกำลังย่ำแย่” ไม่มีความจำเป็นอะไรพิเศษ นอกจาก ‘ได้หน้า’ มั่ง
โถ น่าเห็นหัวอกหัวใจตำหวดไทย ช่วงนี้น้อยหน้าเหล่าทัพอื่นหน่อย มีแต่เรื่องเห้ เห้ เข้ามาประดัง ยาเสพติด บ่อน ทำให้ “เกียรติตำรวจของไทย...” ชักจะหดหาย ตอนนี้เพิ่มเรื่องเหี้ยมเข้ามาด้วย เสียงนินทาหนาหูจากเว็บล้มเจ้าเข้ามาสู่กระแสหลักกันแล้ว
ทวิตเตอร์วันก่อน มีชุดข้อความของนักข่าวอิสระ สายใยหน่วยงานสิทธิมนุษยชนยูเอ็น เผยถึงการ ‘อุ้มฆ่า’ กลุ่มผู้ลี้ภัยข้อหา ๑๑๒ ในลาวเมื่อสองปีที่แล้ว มีผู้หายสาปสูญทั้งสิ้น ๙ คน รวมทั้งรายที่ฮือฮาไปทั่วโลก มีภาพท้ายรถขณะปฏิบัติการกลางกรุงพนมเปญ
พี่สาวของ ‘ต้าร์’ ผู้ถูกลักพาตัว ไปให้การแก่ศาลกัมพูชาแล้ว เชื่อว่าเป็นขบวนการเดียวกับการกระทำในลาว ซึ่งมีหลักฐานศพลอยเกยฝั่งแม่น้ำโขง ๓ ศพ คิดว่าศพที่สามซึ่งหายไปหลังจากมีทหารไทยไปตรวจชันสูตร เป็น สุรชัย แซ่ด่าน
อีกสองศพซึ่งอยู่ในสภาพเหมือนกันกับศพที่สาม “ลำคอถูกรัดด้วยเชือกป่านขนาดใหญ่ ถูกของแข็งทุบใบหน้า คว้านท้องยัดด้วยเสาปูนยาว ๑ เมตร ใส่กุญแจมือไขว้ไว้ด้านหน้า ห่อด้วยกระสอบป่าน เย็บติด ๒-๓กระสอบแล้วหุ้มด้วยตาข่าย”
‘Alexandra Helena’ ผู้รายงานระบุ “ทีมปฏิบัติการลงพื้นที่ในสังหารอย่างโหดเหี้ยมครั้งนี้นำโดย ‘วิจักขณ์ ตารมย์’ หัวหน้าทีม...โดยมี ‘อาจินต์ วังวรรธนะ’ และลูกน้องดำเนินการ...และเป็นผู้บังคับให้ผู้ตายพูดขอขมาต่อในหลวงวชิราลงกรณ์ และส่งคลิปให้”
ทวี้ตกล่าวด้วยว่า “ปัจจุบันทีมปฏิบัติการชุดนี้ มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างรวดเร็วในวงการตำรวจ” ภายใต้บังคับบัญชาของ จิรภพ ภูริเดช น้องชายของ จักรภพ ภูริเดช ราชองครักษ์ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัวและราชินี ซึ่งกำกับงานด้านพีอาร์และการเงินของราชสำนัก
เป็นที่กล่าวขวัญกันในขณะนี้ว่า ทีมตำรวจล่าสังหารนี้ปฏิบัติงานอย่างกึ่งเอกเทศภายในหน่วยกองปราบฯ ของตำรวจ รองรับคำสั่งตรงจากราชองครักษ์ โดยประสานกับหน่วยควบคุมมวลชนภายในตำรวจสันติบาล และหน่วย ตชด.
ทำให้เป็นที่น่าหวาดผวา ถึงขั้นสยองขวัญแก่บรรดานักกิจกรรมเรียกร้องประชาธิปไตย และการปฏิรูปทางการเมืองในไทย รวมไปถึงความต้องการปรับเปลี่ยนพระราชอำนาจกษัตริย์ ให้ตรงตามนิยามแท้จริงของระบอบรัฐธรรมนูญ
หากเกิดมีนักกิจกรรมคนใดคนหนึ่งต้องชะตาขาดแบบผู้ลี้ภัยในลาวแล้ว เท่ากับว่าประเทศไทยกลับไปสู่ยุคมืด เหมือนเมื่อครั้งมีการล่าสังหารนักการเมืองโดยตำรวจยุคเผด็จการครองเมือง แต่นี่หนักกว่าเพราะจะเป็น ‘ฟาสซิสต์’ แบบมุสโสลินีของอิตาลี
(https://www.khaosod.co.th/politics/news_5630153 และ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3927248327285908&id=2292618784082212…)