ไทยต้องซื้อวัคซีนโควิดเพิ่ม หวั่นเปิดประเทศไม่ได้ คนตกงานอีกหลายล้าน
ไทยรัฐออนไลน์
27 ธ.ค. 2563
เมื่อการระบาดของเชื้อโควิด ในประเทศพุ่ง จะส่งผลต่อตลาดการเงิน และช่วง 1-2 เดือน ไทยต้องคุมให้ได้ นักวิชาการเสนอให้รัฐบาล ตัดงบไม่จำเป็น เพื่อจองซื้อวัคซีนเพิ่ม ครอบคลุมคนกว่า 54 ล้านคน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ หวั่นไตรมาส 3 ปีหน้า เปิดประเทศไม่ได้ จะตกงานเพิ่มหลายล้านคน ธุรกิจล้มละลาย นำไปสู่การฆ่าตัวตาย และวิกฤติการเมืองรุนแรง
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่า ตลาดการเงินจะผันผวนรุนแรงช่วงสัปดาห์สุดท้ายสิ้นปี 2563 หลังการระบาดของเชื้อโควิดพุ่งในประเทศ มีรายงานข่าวการกลายพันธุ์ของโควิด ทำให้หลายประเทศห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และโควิดสายพันธุ์ใหม่กลายพันธุ์จากอังกฤษในประเทศญี่ปุ่น การติดเชื้อระลอกสองและระลอกสามในเอเชีย ทำให้ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งควรเป็นภูมิภาคที่มีการฟื้นตัวเศรษฐกิจมากกว่าและเร็วกว่าภูมิภาคอื่น อาจมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นในเอเชียรวมทั้งไทย อาจถูกเทขายหนักในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีและโยกเงินไปยังตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่า เคลื่อนย้ายไปยังตลาดตราสารหนี้และทองคำมากขึ้น
ขณะที่ความเสี่ยงปัญหาชัตดาวน์รัฐบาล (Government Shutdown) ในสหรัฐอเมริกาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ยังไม่ยอมลงนามกฎหมายมาตรการดูแลเศรษฐกิจ สภาวะดังกล่าวอาจสร้างความไม่แน่นอนต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโลกมากขึ้น และเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและค่าเงินดอลลาร์ ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์สุดท้ายของปีมีโอกาสเกิดการเทขายทำกำไรและดัชนีอาจหลุดลงต่ำกว่าแนวรับ 1,400 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,380 จุดได้ ส่วนเงินบาทมีแนวโน้มทรงตัวในช่วงปลายปี แต่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้อีกในช่วงไตรมาสหนึ่งปีหน้าจากการหดตัวของการนำเข้าทำให้มีการเกินดุลการค้าในสัดส่วนที่สูง
“ไทยต้องควบคุม ไม่ให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดหลายกลุ่ม และการแพร่ระบาดใหญ่หลายเหตุการณ์ ให้ได้ในช่วง 1-2 เดือนนี้ หากสามารถดำเนินได้อย่างมีประสิทธิผล ย่อมทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้เหมือนระลอกแรก ช่วงสองเดือนนี้ จึงควรงดจัดกิจกรรมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด ทั้งหมด ควรงดกิจกรรมที่รวมคนจำนวนมากทั้งหมด ออกไปก่อนอย่างน้อยสองเดือน ยกเว้นสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด”
ส่วนการจัดสรรงบ 6 พันล้านบาท เพื่อจองซื้อวัคซีนนั้น ไม่เพียงพอต่อการดูแลประชาชน ขอเสนอให้รัฐบาลจัดหางบประมาณเพิ่มเติมจัดซื้อวัคซีนฟรีสำหรับประชาชน และจองซื้อให้ครอบคลุมประชากรไม่ต่ำกว่า 80% ของประเทศ เพื่อเปิดประเทศภายในไตรมาสสามปีหน้าได้ งบประมาณ 6 พันล้านบาทนั้น สามารถสั่งซื้อวัคซีนได้เพียงแค่ 26 ล้านโด๊ส สร้างภูมิคุ้มกันคนได้เพียง 13 ล้านคนเท่านั้น ต้องทำให้ประชาชนรวมทั้งแรงงานต่างด้าวในไทย มีภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 53-54 ล้านคน ประเทศจึงสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น ลดความยากลำบากทางเศรษฐกิจอันนำไปสู่ปัญหาการฆ่าตัวตายและปัญหาวิกฤติการเมืองรุนแรงยิ่งขึ้น
“การจองซื้อและนำเข้าวัคซีนไม่ต่ำกว่า 107 ล้านโด๊สเป็นสิ่งที่ต้องทำ และรัฐบาลต้องไปตัดลดงบประมาณไม่จำเป็นอื่นๆ ทั้งหมด การลดอัตราการป่วย การลดอัตราการเสียชีวิตและลดปัญหาสุขภาพที่ติดตามมาจากการติดเชื้อโควิดเป็นเรื่องเฉพาะหน้า และเรื่องสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องทำให้สำเร็จภายในปีหน้า”
หากไทยไม่สามารถเปิดประเทศได้ภายในไตรมาสสามปีหน้า จะมีคนว่างงานเพิ่มอีกหลายล้านคน มีธุรกิจล้มละลายอีกมาก รวมทั้งระบบสถาบันการเงินจะมีปัญหาอย่างแน่นอน จึงขอเสนอให้มีการจัดสรรงบจองซื้อวัคซีนอีก 18,692 ล้านบาท หากงบกรมควบคุมโรคและงบกลาง เพื่อจัดซื้อวัคซีนไม่เพียงพอขอให้รัฐบาลพิจารณาตัดลดงบประมาณส่วนอื่นมาเพิ่มเติมให้ หรือกู้เงินเพิ่ม เพื่อทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าถึงวัคซีนได้
นอกจากนี้ รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลเอกชนให้บริการฉีดวัคซีนได้ โดยเสียค่าบริการสำหรับผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี รัฐบาลควรเดินหน้าเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่ถือครองโดยบุคคลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงถึงสูงมาก เพื่อนำมาจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือชดเชยรายได้ให้กับประชาชนที่กำลังจะว่างงานระลอกใหม่และช่วยเหลือกิจการขนาดเล็กและขนาดย่อย โดยธนาคารแห่งประเทศไทยควรพิจารณาลดการจ่ายเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูของธนาคารพาณิชย์ เพื่อธนาคารจะได้ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมให้ลูกค้าได้.
ขณะที่ความเสี่ยงปัญหาชัตดาวน์รัฐบาล (Government Shutdown) ในสหรัฐอเมริกาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ยังไม่ยอมลงนามกฎหมายมาตรการดูแลเศรษฐกิจ สภาวะดังกล่าวอาจสร้างความไม่แน่นอนต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโลกมากขึ้น และเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและค่าเงินดอลลาร์ ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์สุดท้ายของปีมีโอกาสเกิดการเทขายทำกำไรและดัชนีอาจหลุดลงต่ำกว่าแนวรับ 1,400 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,380 จุดได้ ส่วนเงินบาทมีแนวโน้มทรงตัวในช่วงปลายปี แต่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้อีกในช่วงไตรมาสหนึ่งปีหน้าจากการหดตัวของการนำเข้าทำให้มีการเกินดุลการค้าในสัดส่วนที่สูง
“ไทยต้องควบคุม ไม่ให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดหลายกลุ่ม และการแพร่ระบาดใหญ่หลายเหตุการณ์ ให้ได้ในช่วง 1-2 เดือนนี้ หากสามารถดำเนินได้อย่างมีประสิทธิผล ย่อมทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้เหมือนระลอกแรก ช่วงสองเดือนนี้ จึงควรงดจัดกิจกรรมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด ทั้งหมด ควรงดกิจกรรมที่รวมคนจำนวนมากทั้งหมด ออกไปก่อนอย่างน้อยสองเดือน ยกเว้นสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด”
ส่วนการจัดสรรงบ 6 พันล้านบาท เพื่อจองซื้อวัคซีนนั้น ไม่เพียงพอต่อการดูแลประชาชน ขอเสนอให้รัฐบาลจัดหางบประมาณเพิ่มเติมจัดซื้อวัคซีนฟรีสำหรับประชาชน และจองซื้อให้ครอบคลุมประชากรไม่ต่ำกว่า 80% ของประเทศ เพื่อเปิดประเทศภายในไตรมาสสามปีหน้าได้ งบประมาณ 6 พันล้านบาทนั้น สามารถสั่งซื้อวัคซีนได้เพียงแค่ 26 ล้านโด๊ส สร้างภูมิคุ้มกันคนได้เพียง 13 ล้านคนเท่านั้น ต้องทำให้ประชาชนรวมทั้งแรงงานต่างด้าวในไทย มีภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 53-54 ล้านคน ประเทศจึงสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น ลดความยากลำบากทางเศรษฐกิจอันนำไปสู่ปัญหาการฆ่าตัวตายและปัญหาวิกฤติการเมืองรุนแรงยิ่งขึ้น
“การจองซื้อและนำเข้าวัคซีนไม่ต่ำกว่า 107 ล้านโด๊สเป็นสิ่งที่ต้องทำ และรัฐบาลต้องไปตัดลดงบประมาณไม่จำเป็นอื่นๆ ทั้งหมด การลดอัตราการป่วย การลดอัตราการเสียชีวิตและลดปัญหาสุขภาพที่ติดตามมาจากการติดเชื้อโควิดเป็นเรื่องเฉพาะหน้า และเรื่องสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องทำให้สำเร็จภายในปีหน้า”
หากไทยไม่สามารถเปิดประเทศได้ภายในไตรมาสสามปีหน้า จะมีคนว่างงานเพิ่มอีกหลายล้านคน มีธุรกิจล้มละลายอีกมาก รวมทั้งระบบสถาบันการเงินจะมีปัญหาอย่างแน่นอน จึงขอเสนอให้มีการจัดสรรงบจองซื้อวัคซีนอีก 18,692 ล้านบาท หากงบกรมควบคุมโรคและงบกลาง เพื่อจัดซื้อวัคซีนไม่เพียงพอขอให้รัฐบาลพิจารณาตัดลดงบประมาณส่วนอื่นมาเพิ่มเติมให้ หรือกู้เงินเพิ่ม เพื่อทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าถึงวัคซีนได้
นอกจากนี้ รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลเอกชนให้บริการฉีดวัคซีนได้ โดยเสียค่าบริการสำหรับผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี รัฐบาลควรเดินหน้าเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่ถือครองโดยบุคคลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงถึงสูงมาก เพื่อนำมาจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือชดเชยรายได้ให้กับประชาชนที่กำลังจะว่างงานระลอกใหม่และช่วยเหลือกิจการขนาดเล็กและขนาดย่อย โดยธนาคารแห่งประเทศไทยควรพิจารณาลดการจ่ายเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูของธนาคารพาณิชย์ เพื่อธนาคารจะได้ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมให้ลูกค้าได้.