ไม่เชื่อก็ต้องแดกดันทำเป็นเชื่อกันละนะ บ้านนี้เมืองนี้ ที่กษัตริย์มีเมียในตำแหน่งสองคนออกนอกหน้า ผลัดกันออกงาน คนโน้นที่นี่ คนนี้ที่โน่น ยังกับยุครัชกาลที่สี่ ฤๅนี่เขา ‘ถอยหลังลงคลอง’ กันสำเร็จแล้ว ผู้มีอำนาจวาสนาจะทำจะพูดอย่างไรก็ได้
ไล่เรียงลงไปถึงระดับใต้ฝ่าละอองธุลีฯ อย่างพวกตำหวดนี่ ในระยะที่พระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ในประเทศยาวนานเป็นพิเศษ มีเรื่องเข้าเนื้อตัวบ่อยๆ ยาเสพติดเอย ขบวนการค้ามนุษย์ลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าไทยผิดกฎหมาย แล้วนี่เรื่องบ่อนแพร่โควิด
ก่อนอื่นไปดูเรื่องเศรษฐกิจการเงินกันก่อน เพราะมันทะแม่งๆ พิกล หลังจากที่มีการพิมพ์ธนบัตรใหม่เป็นที่ระลึกการเสด็จครองราชย์ของรัชกาลที่ ๑๐ ใบละร้อยกับใบละพันคล้ายคลึงกันไม่พอ เกิดปัญหาเครื่องเอทีเอ็มถุยออกมาให้ แต่ยัดกลับเข้าไปไม่รับ
ก็คือว่า ธนบัตรรุ่นนี้ไม่เป็นที่คุ้นเคยของธนาคาร เอาไปจ่ายค่าโน่นค่านี่ หลายคนอยากกำจัดรีบใช้ๆ มันไป แต่จ่ายที่เครื่องไม่รับ ซ้ำลือกันทั่วว่าเพราะต่างประเทศยังไม่ให้เครดิตว่าเป็น ‘certificate’ สำหรับใช้ชำระหนี้ได้ตามหลักการคลังสากล นั่นก็เรื่องหนึ่ง
เรื่องใหญ่กว่าเกิดจากข่าวที่ว่า สหรัฐอเมริกาใส่ชื่อประเทศไทยเป็นหนึ่งในสองสามชาติเอเซีย ซึ่งต้องคอยจับตาระวังในการปรับแก้หรือบิดเบือนค่าเงินให้ได้เปรียบเงินสกุลดอลลาร์ ผ่านมาเกือบอาทิตย์ สถาบันการเงินไทยเริ่มออกปฏิกิริยาต้าน
วันนี้พูดถึงกรณีค่าเงินบาทกลับมาแข็งใหม่ (อันหมายถึงการส่งออกจะยิ่งหดหาย ประจวบกับเหตุโควิดตลาดกุ้งที่สมุทรสาคร ทำให้อาหารทะเลส่งออกติดกึกติดกัก) บรรษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (รู้นะว่าของใคร) แถลงว่าอัตราแลกเปลี่ยน ๓๐.๐๙ บาทต่อดอลลาร์
ใช่ละ ต่ำกว่าต้องการ แต่แย่กว่านั้นมันจะแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเทศกาลรับปีใหม่ต้นปีหน้า ด้วยอัตรา ๒๘.๙๐ ถึง ๓๐.๑๐ บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ แม้กรอบเงินบาทสัปดาห์นี้อยู่ที่ ๒๙.๘๐-๓๐.๒๐ เป็นตัวเลขค่อนข้าง ‘conservative’ คือเอาดีใส่ตัวไว้ก่อน
แต่เมื่อสามสี่วันก่อน เพจชื่อ ‘Marketing Oops’ บอก อนาคตเงินบาทอาจจะอยู่ที่ระดับ ๒๙.๗๕-๓๐.๐๐ ไม่ต่างกันมากแต่ก็แข็งกว่าหน่อย ชี้ถึงแนวโน้มไม่ค่อยดีนัก ในเมื่อบอกด้วยว่าปลายปี ๒๕๖๔ จะยิ่งแข็งหนักเป็น ๒๘.๙ บาทต่อดอลลาร์
ตรงนี้แหละที่นักการเงินการคลัง เศรษฐกิจมหภาคมองเห็นภาพเลวร้าย ‘SCBS’ ถึงได้พยายามตัดไม้ข่มนามไว้แต่เนินๆ ว่าสิ้นปีนี้ “ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย...สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนด้านพื้นฐานของค่าเงินบาทในปีหน้า”
นั่นคืออยู่ที่ “๒.๖ แสนล้านดอลลาร์ หรือราว ๕๐% ของจีดีพี” ก็โอเค การคลังมั่นคง แต่มันจะไม่ส่งผลถึงเรื่องปากท้องรายวันของประชากร เว้นแต่การค้าและการบริโภคจะคึกคักอูฟูเหมือนสมัยก่อนรัฐประหาร (๒ หน) ผลร้ายจากโควิดรอบแรกยังไม่เหือด
มันซบเซามาตั้งแต่รัฐประหารครั้งก่อนจนใกล้จะเผาจริงตอนโควิดครั้งที่แล้ว อ้าว โควิดรอบใหม่มาอีก สั่งปิดสถานที่มีกิจกรรมส้องสุมคนจำนวนมากทั่วประเทศ แต่ห้างยักษ์ริมฝั่งเจ้าพระยาไม่ยอมปิด และบ่อนที่เมืองชายทะเลกลายเป็น ‘big spreader’
วันก่อนผู้ว่าฯ ระยองแถลงเหตุจำนวนคนติดโควิดเพิ่มพรวดวันเดียวเกือบ ๔๐ รายมาจากบ่อนเกือบ ๓๐ ราย วันนี้ตำรวจเรียงหน้าสลอนนั่งแถลง ไม่มี้ไม่มี ที่นี่ไม่มีบ่อน มีแต่พวกที่ลักลอบเล่นการพนันกันเท่านั้น โควิดที่ติดจากบ่อนมีแค่ ๗ คน
เอ๊ะตำรวจเดี๋ยวนี้เขาพูดภาษาไทยปนเจอมัน หรือไทยปนฟรองแซ แบบ “แปล็งเดอโบเนอร์” อะไรงี้เหรอ บอกไม่มีบ่อนหลัดๆ ดันต่อด้วยข้ออ้างติดโควิดจากบ่อนนิดเดียว หนำซ้ำจัดฉากแห่กันไปตรวจสถานที่ต้องหา นัยว่าเป็นโกดังเก็บของ
“นำกำลังเข้าไปที่บ่อนวิ่งไม่มีชื่อ ข้างร้านเบทาโก ใกล้กับ บขส.๑ ศูนย์การค้าระยอง...พบว่าเป็นห้องโถ่งใหญ่ไม่มีสิ่งของโต๊ะอะไรมีแค่แอร์ขนาด ๒ ตัน จำนวน ๒ ตัวติดที่เพดาน” ห้องเล็กข้างๆ กั้นกระจก ๑ ห้อง กับอีกสองห้องปะวอลเปเปอร์สวยเชียวละ
“ไม่พบอุปกรณ์เกี่ยวกับการพนันอยู่เลย หลังจากที่ตรวจสอบแล้วไม่พบว่าเป็นบ่อนการพนัน” ตำหวดรีบสรุป ขนาดอาจารย์โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์ พ่อ จอห์น วิญญู ยังบอก “ไม่เข้าใจจริงๆ” กับตรรกะของผู้การตำรวจระยอง
นอกจากนั้นชาวบ้านไซเบอร์ไปขุดภาพถ่ายทางอากาศจากอากู๋ (เกิ้น) นำมาเปรียบเทียบกับภาพออกสื่อตอนตำรวจบุกค้น เฮ้ ของเดิมอาคาร (โกดัง) สวยหรู มีกล้องวงจรปิดรอบด้าน แต่ภาพออกสื่อตอนไม่เป็นบ่อน กล้องหายเกลี้ยง
(https://www.facebook.com/khaosod/posts/5691746450842267?, https://www.matichon.co.th/economy/news_2503455 และ https://www.facebook.com/MarketingOopsdotcom/posts/10157354027207610?)