วันเสาร์, ธันวาคม 12, 2563

งานรำลึก 2 ปี 3 สหาย 12 ธค.


อานนท์ นำภา
18h ·
งานนี้จัดเพื่อรำลึกและยืนยันว่าเราจะสู้เพื่อความจริงว่า ใครฆ่าเพื่อนเรา
งานอาจไม่ใช่คนมาเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ทุกคนที่มา
“ มองตาก็รู้ใจ “



ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา
9h ·

“ประมาณปี พ.ศ. 2519-2520 ป้ารู้จักเขาจากการฟังข่าว รู้ว่าเขาเป็นคอมมิวนิสต์ ป้าเพิ่งเรียนมัธยมเอง ก็ได้ยินชื่อเขาแล้ว “สุรชัย แซ่ด่าน” ตอนนั้นเป็นความรู้สึกในแง่ลบนะ ข่าวบอกว่าเขาเผาจวนผู้ว่าฯ ปล้นรถไฟ ฆ่าเจ้าหน้าที่ ป้าก็ได้ยินแต่ข่าวแบบนั้น มันก็น่ากลัวนะ เหมือนเขาเป็นแกนนำ เป็นโจรคอมมิวนิสต์
.
“พอป้ามาเรียนมหาวิทยาลัยที่ปัตตานี ทางการเชิญคนที่ออกจากป่า ผู้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย เป็นพวกอดีตคอมมิวนิสต์กลับใจ มาเล่าประสบการณ์ว่าเข้าป่าไปเพราะถูกหลอกแบบนั้นแบบนี้ เราก็รับฟังข้อมูลที่ทางการบอก ที่นี้ป้าไปออกค่ายอาสาที่จังหวัดสงขลา ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นว่าพื้นที่สีแดง พอได้คุยกับชาวบ้าน จึงรู้ว่าเป็นหมู่บ้านคอมมิวนิสต์เก่า ตอนนี้แหละ ก็เลยถามชาวบ้านว่ารู้จัก “สุรชัย แซ่ด่าน” มั้ย
.
“ชาวบ้านที่นั่นก็บอกว่า สุรชัย แซ่ด่านเป็นคนดีนะ ค่อยช่วยเหลือชาวบ้าน ไม่เหมือนพวกเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เข้ามาในหมู่บ้านแล้วข่มเหงรังแกมาหาผลประโยชน์ ชาวบ้านบอกว่า สุรชัย เป็นคอมมิวนิสต์ที่ดี มีอุดมการณ์ ป้าก็คิดว่าตอนที่เราอยู่มหาวิทยาลัยฟังข้อมูลจากรัฐกับลงพื้นที่ชุมชนจริงๆ ทำไมข้อมูลมันถึงแตกต่างกัน ชาวบ้านที่นี่มีทัศนคติที่ดีกับนโยบายพรรคและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ป้าก็มาชั่งน้ำหนักข้อมูลแต่ละฝ่ายเอง เพียงแต่สมัยนั้น ป้าไม่ได้มีใจคิดทางการเมืองอะไร เพราะเราเป็นนักเรียนทุน ก็พยายามตั้งใจเรียนให้จบแค่นั้น
.
“พอเรียนจบปริญญาตรี ป้ากลับมาเป็นครูที่ลำปาง ช่วงประมาณปี 2530 ได้ฟังข่าวว่ามีการอภัยโทษ สุรชัย แซ่ด่าน ในคดีปล้นรถไฟและฆ่าเจ้าหน้าที่ จากประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต ป้าก็เขียนจดหมายไปหาเขา ที่เรือนจำบางขวาง นั่นเป็นครั้งแรกเลยนะที่เป็นการติดต่อพูดคุยกัน
.
“ป้าก็เขียนในจดหมาย แนะนำตัวว่าป้าเป็นครูสอนนักเรียนอยู่ที่ลำปาง ขอแสดงความยินดีที่คุณสุรชัย ได้รับการลดโทษ ป้าก็สอบถามความเป็นอยู่ทั่วไป ในจดหมายมันต้องจ่าหน้าซองผู้ส่งด้วย แต่ป้าไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการตอบกลับนะ แค่อยากแสดงความยินดีกับเขา ซึ่งป้าไม่เคยเขียนจดหมายหาใครนะ เขียนหาเขาคนแรกและคนเดียวเลย
.
“เขาตอบกลับมาบอกว่าดีใจที่มีคนคิดบวก ให้กำลังใจ เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่มีแต่เข้าใจในตัวเขาผิดๆ เขายังส่งโปสการ์ดที่มีนักศึกษาจากรามคำแหง ส่งไปให้กำลังใจเขามาให้ป้าดู เขาว่ามันมีบทกลอนที่อ่านแล้วน้ำตาซึม ป้าจำเนื้อหาไม่ได้ แต่ความหมายมันทำนองว่า ต้องมีสักวันที่ได้รับอิสรภาพ ต้องมีคนเห็นความดีและความถูกต้องที่เขาทำมา
.
“คุยกันทางจดหมายอยู่ 2-3 ปีเลยนะ ได้รับรู้แนวคิด รับรู้มุมมองของเขาจากจดหมายที่เขียนมา เขาเริ่มเขียนเรื่องราวในป่า เรื่องราวการต่อสู้มาให้อ่าน ตอนนั้นป้าชอบดูหนังจีนกำลังภายใน มันจะมีจอมยุทธ์เพื่อคุณธรรมแบบพระเอกหนังจีน ป้าก็มองคุณสุรชัย เป็นแบบนั้นเลย เขาเป็นพระเอก ต่อสู้เพื่อคนยากจน เพื่อความไม่เป็นธรรม ก็ชื่นชมศรัทธาเขา มองเขาเป็นฮีโร่ ช่วยเหลือคนอื่น แต่ยังไม่มีความรู้สึกในเชิงชู้สาวเลยนะ จนวันนึงแกเขียนจดหมายตอบกลับมาอยากให้ป้าไปเยี่ยมที่เรือนจำ
.
“ตอนปีแรกๆ ที่เขียนจดหมายคุยกัน เขาเคยขอรูปถ่ายป้า ก็เลยได้ส่งไปให้เขา พอเขารู้ว่าป้าจะไปเยี่ยม เขาเอารูปไปบอกผู้คุมเรือนจำที่สนิทกัน เอารูปป้าไปให้ดู แล้วบอกว่า แฟนจะมาเยี่ยมให้ช่วยอำนวยความสะดวก ป้านั่งรถไฟจากลำปาง เพิ่งเคยมาเรือนจำนะก็ไม่รู้จะติดต่อยังไงก่อน อยู่ๆ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็เดินมาหา ช่วยทำเรื่องติดต่อเยี่ยมญาติ พอไปเจอกันก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ด้วยสภาพตอนนั้น มันมีลูกกรงกั้นห่างกัน ห้าเมตรสิบเมตรยืนตะโกนคุยกันแข่งกับเสียงตะโกนของญาติคนอื่น
.
“พอปี 2535 เหมือนจะมีข่าวดี ว่าเขาได้รับการลดโทษ อาจได้ออกจากเรือนจำ มีนักข่าวจากนิตยสาร"ข่าวพิเศษ"มาเยี่ยม เขาได้เล่าเรื่องทุจริตของเจ้าหน้าที่เรือนจำ ให้นักข่าวฟัง กำชับว่า อย่าเปิดเผยชื่อคนให้ข้อมูล แต่นักข่าวคนนั้น ก็ยังเปิดเผยชื่อแหล่งข่าว จึงทำให้ เขาถูกสอบสวน ลงโทษลดชั้นลง จากนักโทษชั้นดีเยี่ยม เป็นชั้นดี จึงไม่ได้รับการลดโทษครึ่งหนึ่งได้ลดโทษเพียง 1 ใน 3เมื่อมีการอภัยโทษวาระพิเศษในปี2535 จึงยังไม่ได้ออกจากคุก
.
“ระหว่างนั้นก็ยอมรับว่าพูดคุยกันแบบคนรัก แต่ป้าก็ยืนยันว่า ถ้าออกจากเรือนจำไม่จำเป็นต้องแต่งงานกัน เพราะเขาติดคุกอยู่ 16 ปี ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ผู้หญิงคนอื่น แล้วยังมีเรื่องครอบครัวเก่าที่ยังคาราคาซังเลิกลาแล้วแต่ยังไม่ได้หย่าขาด เขาเคยเขียนจดหมายบอกป้านะ “ถ้าน้องเจอใครที่ดี รักใคร ให้แต่งงานไปเลย พี่ก็จะรักคนที่น้องรักด้วย จะรักเขาเหมือนเป็นน้องชาย
.
“จนปี 2539 เขาพ้นโทษ ป้าก็ไม่ได้ไปรับเขานะ ให้เขาได้จัดการชีวิตของเขาก่อน จากนั้นประมาณครึ่งเดือน เขาขึ้นไปหาป้าที่ลำปาง ไปๆ มาๆ แบบนั้นอยู่ปีนึง แม่ของป้าตาบอด เขาจะมาขอป้าแต่งงาน ก็อัดเสียงผ่านเทปคาสเซ็ทให้แม่ของป้าฟัง แนะนำตัวว่าเป็นใคร ไม่ได้มาหลอกลวงป้า ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายแบบที่ทางการเขากล่าวหา เลยแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันตอนปี 2540
.
“ชีวิตหลังแต่งงาน เขาก็ยังทำเพื่อคนอื่น เพื่อส่วนร่วม ไปลงเรียนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เพื่อให้มีปริญญาไปทำงานการเมือง ตอนนั้นป้าก็ลงพื้นที่กับเขาตลอด ตอนนั้นหลังแต่งงานก็ไม่คิดจะมีลูก เพราะรู้ว่าชีวิตของเรายังทำงานที่เสี่ยงอันตรายทั้งชีวิตและการติดคุก ใจป้าก็อยากให้เขาทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างเต็มที่ ก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกันตามอุดมการณ์ที่ตั้งไว้
.
“กระทั่งต้นปี 2554 เขารับโทษคดีมาตรา 112 พ้นโทษประมาณเดือนตุลาคม 2556 ออกมาได้ไม่กี่เดือน ก็จะโดนคดีเดิมอีกและคดีบุกรุกล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา ซึ่งเขายืนยันว่าไม่ได้เข้าไปในบริเวณโรงแรม เป็นการถูกกลั่นแกล้ง จากนั้นก็มีการรัฐประหาร เขารู้เลยว่า ต้องมีการชาร์จตัวเขา แล้วตอนนั้นเขาป่วย ทั้งผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ นิ่วในถุงน้ำดี ต้อกระจก เขาว่าถ้าจะสู้ด้วยร่างกายแบบนี้ในคุก เขาตายในคุกแน่ๆ เพราะระบบสาธารณะสุขในคุกไม่ดี เขาจะต้องลี้ภัยการเมืองไปประเทศอื่น
.
“ก็ได้ร่ำลากัน เขาบอกให้ป้ากลับไปอยู่บ้านที่นครศรีธรรมราช เขาต้องไปแล้วจริงๆ ตอนนั้นป้าไม่ได้ขอติดตามไปด้วย เพราะรู้ว่าอาจเป็นภาระของเขา เราต่างเข้าใจกันต่อความจำเป็นต้องไปครั้งนี้ มันใจหายนะ หลังเขาไปป้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับเลย เป็นห่วงเขา กว่าจะติดต่อกันได้ และรู้ว่าเขาปลอดภัย คือใช้เวลาเกือบปีหลังเขาเดินทางไป เป็นหนึ่งปีที่ทุกข์ใจมาก กว่าจะรู้ว่าเขาปลอดภัย
.
“ปกติก็คุยกันผ่านไลน์ แล้วเขาก็จะส่งบทความ ส่งคลิปอะไรมาให้ฟังตลอด หลังๆ เขาบอกว่าอาจได้กลับไทย ถ้ามีการนิรโทษกรรมนักโทษคดีการเมืองทุกคน เนื่องในวาระพิเศษ เขาบอกว่าจะกลับมาทำ “สำนักคิด” สำหรับเยาวชน และทำวิทยุออนไลน์ช่วยเหลือเกษตรกร ตัดพ่อค้าคนกลาง ยังคุยกันว่า ถ้าได้กลับมา จะย้ายไปอยู่ที่ลำปาง เพราะเขาสงสารป้าที่อยู่ห่างจากญาติพี่น้อง
.
“กระทั่งวันที่ 9 ธ.ค. 2561 เป็นครั้งสุดท้ายที่ติดต่อกันได้ และคาดว่าเขาหายตัวไปพร้อมคนสนิทในคืนวันที่ 12-13 ธ.ค. 2561 ตอนนั้นใจไม่ดีแล้ว ปกติเขาจะส่งคลิป ส่งบทความมาให้อ่านสม่ำเสมอ การหายเงียบไป แปลว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติแล้ว
.
“เขาเคยบอกเราให้เตรียมใจไว้ ชีวิตแบบเราสิ่งที่อาจเจอคือ “ติดคุก หนี ตาย” มีอยู่แค่ 3 อย่างนี้ แม้เตรียมใจไว้บ้างว่าชีวิตจะต้องเจออะไร แต่มันก็ไม่อยากให้เกิด เป็นห่วงเขามาก พอไม่กี่วันต่อมาช่วงปลายเดือนธ.ค. 2561 พบศพคนสนิทของเขาที่หายไปพร้อมกัน ถูกฆ่าอย่างทารุณโหดร้าย ป้าก็คิดว่าเขาคงไม่อยู่แล้ว ป้าได้แต่สวดมนต์ให้เขา อโหสิกรรมให้คนที่ทำ ไม่โกรธไม่แค้นใครแล้ว แค่ตอนนี้อยากได้รับความยุติธรรมบ้างก็พอ...”
——
ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยา
สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) คนหาย
สัมภาษณ์ในวาระครบรอบ 2 ปี ที่นายสุรชัยหายไป
——
#คนหาย นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ นายสุรชัย แซ่ด่าน อายุ 77 ปี ได้ขาดการติดต่อและหายออกจากที่พักในแขวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2561 คนหายรูปร่างสันทัด สูงประมาณ 175 ซม. น้ำหนัก 70 กก. สีผิวขาวเหลือง ผมสั้น มีแผลเป็นรอยผ่าตัดบริเวณปลายขาซ้าย แผลเป็นรอยผ่าตัดบริเวณหน้าอกด้านซ้าย แผลเป็นรอยผ่าตัดบริเวณใต้รักแร้ซ้าย
#คนหายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง
#คาดถูกบังคับให้สูญหาย