นอกจากปัญหาความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจแล้ว
จุดอ่อนสำคัญอีกอย่างของรัฐบาลนี้ก็คือ
ความอ่อนด้อยในการจัดการ
...
ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะความเคยชินในการใช้แต่”อำนาจ”จนเคยตัว
เห็นชาวบ้าน เห็นประชาชน เห็นคนอื่น เห็นข้าราชการเป็นไอ้เณรเป็นทหารเกณฑ์
สั่งเข้าแถวซ้ายหันขวาหันได้หมด
พอชินกับการสั่ง ได้ยินแต่เสียงของตัวเองอยู่คนเดียว กลุ่มเดียว
ซึ่งแต่นอน ใครที่อยากเอาใจ ใครที่อยากได้ประโยชน์ ก็จะป้อนคำหวานป้อยอ พูดแต่เรื่องถูกใจ
ฟังบ่อยเข้าก็เคลิ้ม
ก็เลยไม่ฟังเสียงที่แตกต่างออกไป
หรือฟังแต่ไม่ได้ยิน
แล้วก็เข้ารกเข้าพงกันไปอย่างที่เห็นๆ
...
ยกตัวอย่าง ความอ่อนด้อยที่ว่านี้สัก 2-3 เรื่องก็แล้วกัน
เรื่องแรก-ภัยแล้ง
จริงอยู่ว่าสภาพภูมิอากาศของโลกของประเทศที่ปรวนแปรรุนแรงมากขึ้น ทำให้ผลกระทบที่เกิดรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย
แต่เรื่องน้ำนั้นเป็นเรื่องใหญ่
เป็นเรื่องที่ประกาศ-คุยคำโตเอาไว้ว่าจะจัดการให้ได้ภายใน 3 ปี 5 ปี
จนป่านนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่า ตลอดระยะเวลาเกือบทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมา เรื่องการบริหารจัดการน้ำถูกโยนให้เป็นอำนาจและความรับผิดชอบของ”เพื่อนรัก” แต่เพียงผู้เดียว
ผลออกมาเป็นยังไง
ใครที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งโดยตรงคงซึ้งแก่ใจ
ร้ายไปกว่านั้น ตั้งแต่ปีก่อนก็รู้ล่วงหน้าว่าปีนี้จะแล้ง
แต่ไม่ได้ทำอะไรล่วงหน้ามากกว่า
1.ประกาศงดทำนาปรัง
2.ประกาศให้ใช้น้ำอย่างประหยัด
ไม่ให้ทำนาปรังแล้วจะให้ทำอะไร เอาอะไรกิน?
ประกาศประหยัดกันมาทุกปี แต่ไม่มีมาตรการอื่นเสริม ประมาณการใช้น้ำก็เพิ่มขึ้นทุกปี
แต่น้ำต้นทุนมีเท่าเดิมหรือน้อยกว่า
ไม่วิกฤติวันนี้มันก็ต้องวิกฤติเข้าสักวัน
แล้ว 5 ปีผ่านไม่ได้ทำอะไร
ใครจะไปเชื่อว่ามีปาฏิหารย์เกิดในชั่วข้ามคืน?
...
เรื่องต่อมา-พิษเศรษฐกิจ
ในขณะที่ท่านยืนยันยันอยู่ว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ตกต่ำ
ขนาดเว็บไซต์ของพรรคยังเอาเรื่องโรงงานเปิดใหม่มากกว่าโรงงานปิดตัว มีการจ้างงานเพิ่มมาลง
ข้อมูลและปรากฎการณ์อื่นๆ ก็ย้อนและแย้งกับคำยืนยันของท่านๆ ทั้งหลาย
เช่น
ศูนย์วิจัย EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยผลวิจัยว่า
-รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนไทยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีสวนทางกับ GDP ที่ยังเติบโต
-การใช้จ่ายของครัวเรือนไทยก็ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีเช่นกัน
-ครัวเรือนไทยเป็นหนี้มากขึ้น และภาระหนี้ต่อรายได้แตะระดับสูงสุด
-ครัวเรือนไทยเก็บออมลดลงและมีความเปราะบางทางการเงินมากขึ้น
-เงินช่วยเหลือจากภาครัฐมีบทบาทมากขึ้นต่อเนื่องในการประคับประคองครัวเรือนรายได้น้อย
หรือ
มวยเด็กที่กลับมาเฟื่องฟูในต่างจังหวัด
หลังจากที่ถูกกระแส”ทารุณเด็ก”ต่อต้าน จนกระทั่งลดหดหายไป(หรือทำก็ไม่กล้าให้โฉ่งฉ่าง)ในช่วง 10 ปีหลัง
พ่อแม่ผู้ปกครองของนักมวยตัวน้อยเหล่านี้ พูดง่ายๆ ตรงๆ ว่าที่ต้องเอาลูกมาหากินแบบนี้
เพราะได้เงินมากกว่า เร็วกว่า การไปทำมาหากินอย่างอื่นที่ฝืดเคืองขึ้นทุกที
ไปจนถึง
การฆ่าตัวตาย เพราะปัญหาเศรษฐกิจ(จากหลักฐานปากคำที่ผู้ตายทิ้งไว้เอง) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งคนใหญ่คนโตในรัฐบาลต้องออกมาปรามการเสนอข่าว
อ้างว่าจะทำให้เกิดอุปาทานหมู่
และระบุด้วยว่า คนตัดสินใจฆ่าตัวตายไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างเดียว
ใช่เลยครับ
คนฆ่าตัวตายหลายกรณีไม่ได้ตัดสินใจปุบปับ แต่มีรากฐานที่มามากกว่านั้น
แต่ข้อสังเกตคือคนที่ตายไปนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจชั้นกลางใกล้ๆ ล่าง
หรือผู้ประกอบการอิสระทั้งหลาย
ที่แต่ก่อนเคยเลี้ยงตัวได้ เคยมีช่องทางขยับขยาย หรือยกฐานะทางเศรษฐกิจของตัวเองได้
อะไรทำให้เขาเหล่านี้ตีบตัน ถึงขั้นตัดสินใจเลือกทางที่คนปกติธรรมดาจะไม่เลือก
ขาดความสามารถในการแข่งขัน เป็นพวกอ่อนแอต้องแพ้ไป?
หรือระบบที่ไม่เอื้อต่อการแจ้งเกิดของคนชั้นล่าง?
เพราะสังเกตนะครับ
ว่าคนที่ออกมาให้ความเห็นหรือสนับสนุนแนวทางแรกส่วนใหญ่คือคนในกลุ่มร้อยละ 10 ทางเศรษฐกิจ
ที่ถือครองทรัพย์สินมากกว่าร้อยละ 90 ของสังคมไทย
ซึ่งยังไม่กระทบกระเทือนอะไร
หรือเผลอๆ ก็เป็นอย่างที่ผลวิจัยข้างบนว่าไว้
คือเป็นกลุ่มที่”สูบ”เข้าไปมากกว่า”คาย”ออกมา
ยิ่งนานถึงยิ่งเหลื่อมล้ำ
ถึงยิ่งมีข้อมูลตนละชุด
ถึงพูดคนละภาษา
ตัวอย่างสุดท้ายของความ”อ่อน”(เวลาอ่านไม่ว่าอ่านในใจหรืออ่านออกเสียง ให้ออกเสียงสั้นๆ ใกล้ๆ”อั่น”หรือ”อ่น” ถึงจะสะใจ อ่านออกเสียงยาวไปจะไม่เข้าบรรยากาศ)
ก็คือการจัดการกับเศรษฐกิจมหภาค-การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
จริงอยู่ว่าโลกน่ะแย่
แต่ข้อเท็จจริงหรือเราน่ะแย่กว่า
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านรอบข้าง
การขยายตัวเกือบต่ำที่สุดในภูมิภาคมาตลอด 6-7 ปี
เป็นเครื่องยืนยันในตัวเองอยู่แล้ว
ไม่ฉายหนังซ้ำ
มีแต่ข้อมูลแถมว่า
เจ้าสัว(ระดับ 1 ใน 10 บนสุดของห่วงโซ่เศรษฐดิจ)คนหนึ่งบอกว่า
3 ปีที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี แต่บริษัทกำไรมากขึ้น
เพราะคู่แข่งรายกลางรายเล็ก
ตายหมดแล้ว
แถมข้อมูลที่สองก็คือ
2562 คือปีแรกในรอบ 20 ปี ที่ยอดขายต่อสาขาของเซเว่นและโฮมโปร ไม่เพิ่มขึ้น
ของกินของใช้ ของในบ้าน ยอดขายยังไม่ขยายตัว
สะท้อนกำลังซื้อของรากหญ้าได้ว่าเป็นอย่างไร
...
เรื่องสุดท้าย-ค่าเงินบาท
ก็รู้มาเป็นปี ว่าบาทที่แข็งเกินจริงมันทำร้ายเศรษฐกิจ
แต่บ้อท่า
ทำอะไรกับแบงก์ชาติไม่ได้ นอกจากบ่น
อย่าพูดถึงปลด/เปลี่ยนผู้ว่าการหรือผู้บริหารเลย
แค่เสนอแนวทางหรือนโยบายอะไรยังไม่กล้าเสนอ
ส่วนกรรมการเสถียรภาพปาหี่อะไรที่ตั้งขึ้นมา
ก็ไม่ได้แสดงบทบาทท่าทีอะไรว่า จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ได้
เพราะฉะนั้นในปีนี้ นอกจากระบบเศรษฐกิจไทยจะเผชิญหน้ากับค่าเงินบาทที่แข็งเกินจริง(จนวันหนึ่งต้องถล่มลงมา ตามพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง)
ในระยะสั้นยังจะประสบกับ”ความปั่นป่วน” อันเนื่องมาจากความบ้อท่าของนโยบายรัฐด้วยอีกหนึ่งอย่าง
ปล.
เพื่อป้องกันข้อครหาว่าดีแต่ด่า
อีกวันสองวันจะเรียนนำเสนอมาตรการระยะสั้น สำหรับการป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็ง ที่มีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแนะนำมา
โปรดติดตามด้วยความระทึกในหทัยพลัน
(555 ขายของกันดื้อๆ อย่างนี้เลย)
...
นี่คืออ่อนเรื่องจัดการ-บริหารครับ
ยังไม่รวมความ”ห่วย”ทางการเมือง
ประเภทน้ำประปาเค็มก็ไม่ต้องเติมน้ำปลาอะไรนั่นด้วย
เดี๋ยวเรื่องซีเรียส ถ้าไม่ซีเรียสหนักขึ้น
ก็จะกลายเป็นเรื่องฮาไปเสียก่อน
เฮ้อ
...
Thakoon Boonparn
https://www.facebook.com/thakoon.boonparn/posts/10213317605129209
ooo
อยากกลับมากรีดยางอยู่บ้าน
ราคายางก็ตกลงอย่างแรง
4 โล 100 บาท
โลละ 25 บาท
มี 100 ไร่ก็กรีดกันน้ำตาไหล
555 เป็นนักข่าว
ขายขนมจีนหาเงินไปทำข่าว
กันต่อไปก็แล้วกันจ้ะพี่จ๋า
ป.ล.สวนยางคนอื่นเขา
ณ.บ้านปีเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส