วันจันทร์, มกราคม 13, 2563

ประกาศจัดจราจรระหว่างขบวนเสด็จฯ พัฒนาการใหม่ หรือว่า 'ขวดใหม่'


น่าจะเป็นครั้งแรกที่โปรเฟสเซ่อโฆษกรัฐบาลแถลงแล้วคนฟังไม่แสลงหู ที่ว่าพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราโชบายมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดแนวทางอำนวยความสะดวกด้านการจรจร เพื่อมิให้ประชาชนได้รับผลกระทบต่อการเสด็จพระราชดำเนินต่างๆ

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ แถลงรายละเอียดแนวทางที่ สตช.กำหนดดังนี้ ๑.ไม่ให้ทำการปิดจราจร เพื่อประชาชนใช้เส้นทางได้ตามปกติ ๒.ให้จัดช่องทางเวลามีการเสด็จของพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยใช้อุปกรณ์กั้นระหว่างช่องทางเสด็จฯ และช่องประชาชนสัญจร

นอกนั้นเป็นรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ เช่น ถ้ามีเกาะหรือกำแพงแบ่งกลางถนนอยู่แล้ว เส้นทางฝั่งตรงข้ามใช้ได้ตามปกติ ส่วนกรณีทางร่วมและทางแยกให้ก็ให้ประชาชนใช้ได้ปกติ โดยตำรวจจราจรต้องจัดหาวิธีการควบคุม แต่ไม่ให้บังคับประชาชนเปลี่ยนเส้นทาง

สำหรับสะพานข้ามถนนหรือสะพานกลับรถก็ให้เปิดใช้ได้ไม่ต้องปิด และบนทางด่วน ทางพิเศษซึ่งเก็บค่าผ่านทาง ให้แบ่งไว้ ๒ ช่องทางสำหรับขบวนเสด็จฯ นอกนั้นเปิดให้ประชาชนใช้ตามปกติโดยวางกรวยแบ่งคั่น

ข้อสุดท้าย ให้ “ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ต้องลงไปกำกับดูแลด้วยตนเอง สำหรับผู้ปฎิบัติให้ใช้วาจา กิริยาท่าทางด้วยความสุภาพ ไม่ให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกบังคับ”


ดูเหมือนว่านี่เป็นพัฒนาการใหม่เอี่ยม น่าชื่นชมท่ามกลางความหดหู่และห่อเหี่ยวจากสภาพเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความเอารัดเอาเปรียบด้านเสรีภาพทางการเมืองที่เป็นอยู่ และเป็นมาตลอดกว่า ๕ ปี ดังที่นักกิจกรรมคนหนึ่งยอมรับ
 
วันนี้โบว์เพิ่งเจอเองจริงๆ ค่ะ...ถึงกับชมในใจเลย (ในส่วนของการออกแบบกระบวนการนะ) คือมันไวมากจริง ช่วงที่เราต้องหยุด คือรู้สึกเหมือนติดไฟแดงที่นานระดับกลางเท่านั้น” ณัฏฐา มหัทธนา เขียนตอบสนทนากับ Somsak Jeamteerasakul

สศจ.บอกว่าช้าก่อนอย่างเพิ่งด่วนดีใจ “ไม่ควรจะตื่นเต้นเกินไป” อาจเป็นเพียง ขวดใหม่เพราะ “เป็นเรื่องที่เน้น ส่วนพระองค์ เท่านั้น ไม่ได้กินความไปถึงขบวนเสด็จส่วนใหญ่” 

ข้อนี้ยังต้องรอ ‘clarification’ ขยายความต่อไปอีกหน่อย ในเมื่อข่าวระบุ พระบรมวงศานุวงศ์ ด้วย

แต่ที่ควรพิจารณาอยู่ที่ “ความเปลี่ยนแปลงนี้ ต้องดูที่เป็นจริงจะมีผลแค่ไหน” สมศักดิ์ เจียมฯ เอ่ยถึงปี ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๕ “ก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาแล้ว และไม่สำเร็จ” นับเวลาสิบปีทีเดียวจึงเพิ่งมาปรากฏใหม่อีกครั้ง

ดูรายงานของ ประชาไท ที่อ้าง มติชนออนไลน์(หมายเหตุ ลิ้งค์นี้เปิดไม่ได้) เมื่อต้นกรกฎาปี ๕๕ ตำรวจแจกจ่ายคู่มือการจราจรเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินฯ เป็นการส่วนพระองค์เนื่องแต่ “บัดนี้ราชเลขาธิการให้น้อมรับพระราชกระแสรับสั่งมาอีกครั้ง”

เรื่องมีอยู่ว่าในปี ๒๕๔๔ พระเจ้าอยู่หัวฯ ร.๙ มีพระราชปรารภกับราชเลขานุการเรื่องปัญหาการจราจร “โดยเฉพาะเวลาที่มีขบวนเสด็จฯ หากต้องปิดการจราจรเป็นเวลานานจะทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก” จึงมีรับสั่งให้ร่วมกันหาทางแก้ไข

ราชเลขาฯ (อาสา สารสิน) ก็น้อมรับใส่เกล้าฯ เอามาเริ่มดำเนินการในปี ๒๕๕๓ และปฏิบัติได้ในเดือนกรกฎา ๕๕ อันทำให้ถูก สศจ.แซะว่า “คือจะปฏิรูปอะไรที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ (หรือพูดให้ตรงคือ สถาบันกษัตริย์จะปฏิรูปตัวเอง)

แม้จะเรื่องเล็กมากขนาดนี้ ก็ยังต้องใช้เวลาถึง ๑๑ ปีนะฮ้าฟ (ที่ว่า ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก)” แต่ราชเลขาฯ อ้างในครั้งนั้น (ปี ๕๕) ว่า “ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทางภาคสนามเกรงกลัวว่าจะถูกตำหนิและถูกลงโทษ”

เป็นงั้นไป ครั้งนั้น ร.๙ รับสั่งแล้วยังไม่ทำ เพราะ กลัวถูกตำหนิและลงโทษคราวนี้ ร.๑๐ รีบทำเพราะอะไร จึงต้องมาดูจากที่ โบว์เล่าความประทับใจในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ดูก่อน “วิธีการคือเค้าค่อยๆ เลียบกั้นเลนที่ต้องการ” เธอว่า

“แล้วเลนข้างๆ ให้หยุด ก่อนขบวนมาถึงไม่กี่นาที พอขบวนผ่านปุ๊บ แทนที่จะให้รถรอนานๆเพื่อเว้นระยะ ไม่ เค้าให้รถตำรวจทำแผงขับนำ แล้วปล่อยรถวิ่งตามเลยค่ะ” นั่นแน่ะ แสดงว่าตำรวจจราจรนี่เค้า เล่นเป็นหรา

เลยได้รับคำชมจากโบว์ว่า “ซึ่งมีประสิทธิภาพ และให้ผลบวกทางจิตวิทยาแน่นอน” แต่กระนั้นวงสนทนาบนทางด่วนไซเบอร์ ติ่ง สมศักดิ์ เจียมฯ ก็ยังถกกันชนิดเกือบถอนขนอุย ทั้งย้อนอดีต และ ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้าง

หลักๆ ก็คือเรื่อง “โดนให้ออกโทลเวย์ ไปขับอ้อมกลับเข้ามาใหม่ บวกระยะจากเส้นทางเดิมไป ๒๐-๓๐ กิโลเมตรอย่างน้อย ๆ” หรือ “มาเชียงใหม่ยังขับรถมาเองเลยครับ เคลียร์ถนนสองเลน ห้ามรถสองฝั่งวิ่งจนถึงที่พักครับ”

หรือ “รถพระที่นั่งวิ่งมาจอดรอรับเสด็จก็วิ่งมาเป็นขบวนและปิดถนนอยู่ดี บางทีเสด็จมาทาง ฮ.แต่คนติดตามก็มาต่างหากในขบวนรถยนต์ ก็ปิดอีกเพราะมีรถพระที่นั่งเปล่าๆ มาในขบวนด้วย” ล้วนเกิดขึ้นจริงทั้งนั้นเมื่อไม่นานนี้เอง

แสดงว่าในยุค คสช.๑ เวลา ๕ ปีเต็มๆ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กัน ไม่มีใครสนใจพระราชปรารภของสมเด็จปู่ เมื่อ ๑ ทศวรรษก่อนหน้านั้นกันเลย มัวแต่เพลินอะไรอยู่นะ