ศาลรัฐธรรมนูญนำคำวินิจฉัยของตุลาการทั้ง ๙
คนออกเผยแพร่ ในคดีที่ตัดสินด้วยเสียง ๗ ต่อ ๒ ให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
สิ้นสุดสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จากการขายหุ้นนิตยสารแฟชั่นที่ปิดไปแล้วให้แก่มารดา
ตุลาการ ๗ คน “ท่องตามกัน” อย่างที่ Atukkit Sawangsuk
ว่า แต่ละความเห็นเป็นไปตามที่สำนักข่าวอิศราชงไว้ก่อนหน้า
จนตุลาการคนหนึ่งรุ่มร่ามหลุดออกมาว่า การโอนหุ้นดังกล่าว “เพื่อแก้ข่าวไม่ให้สังคมเข้าใจผิด
หลังสำนักข่าวอิศรานำเสนอข่าวนี้”
บุญส่ง กุลบุปผา
จึงเขียนคำตัดสินว่า “เช็คค่าหุ้นที่ผู้ร้องอ้างว่าได้รับเป็นค่าโอนหุ้นจากนางสมพร
(ผู้เป็นมารดา) ดังกล่าวนี้ไม่มีทางที่จะเรียกเก็บเงินได้ก่อน
๒๓ มี.ค. ๒๕๖๒” วันหมาหอนก่อนเลือกตั้ง โดย จรัล ภักดีธนากุล ช่วยเสริมว่า
“เป็นการจัดทำเอกสารการโอนหุ้นย้อนหลังเพื่อไม่ให้ขาดคุณสมบัติ”
จรัลอ้างกรณีมีการ “ยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อนายทะเบียนบริษัท” ช้าไป ๗๒
วัน และเป็น “๒
วันหลังจาก ส.ส.สกลนคร เขต ๒ อนค.
ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสั่งถอนชื่อออกจากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง”
บุญส่งยังนำคำให้การของภรรยาธนาธรมาจัดตั้งความผิด
“ภริยาของผู้ถูกร้องอ้างว่าติดธุระไม่สะดวกนำเช็คไปขึ้นเงิน
เป็นการผิดปกติของวิญญูชนโดยทั่วไป” ประโยคหลังนี่ วรวิทย์ กังศศิเทียม ตามแห่
เช่นกันกับนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ซึ่งเพิ่มเติมว่า
“ผู้ประกอบธุรกิจการค้าที่ต้องการเงินสดมาหมุนเวียน
ดังนั้นเช็คฉบับดังกล่าวจึงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังประกอบได้ว่ามีการโอนหุ้นกันจริง”
อันนี้ประธานฯ นุรักษ์ มาปราณีต อธิบายว่า “การเก็บเช็คที่มีการสั่งจ่ายเงินจำนวนมาก
(๖.๗๕ ล้านบาท) ไว้นาน (๑๒๘ วัน)
ย่อมเป็นที่ผิดปกติวิสัยวิญญูชนทั่วไป”
ซึ่ง อุดมศักดิ์ นิติมนตรี เข้ามาเสริมด้วยว่า “ผู้ทรงเช็คสามารถมอบอำนาจให้บุคคลใดไปดำเนินการแทนได้”
ที่นางรวิพรรณให้การว่าต้องดูแลลูก “จึงไม่จำเป็นต้องนำเช็คไปเข้าบัญชีขึ้นเงินด้วยตนเอง”
อุดมศักดิ์ยังอ้างการนำเช็คไปขึ้นเงินในวันเดียวกันที่
กกต.ยื่นคำร้อง “น่าเชื่อได้ว่าเมื่อได้ยินข่าว
(ที่ ‘อิศรา’ ชงไว้)
ว่าไม่ได้มีการซื้อขายหุ้นกันจริง” ถึงได้ทำการรวบรวมหลักฐานกันหลังวันลงสมัครรับเลือกตั้ง
อันสายไปแล้ว
พร้อมกันนี้มีข้อกล่าวหา
(จากบุญส่ง) ด้วยว่า “ผู้ถูกร้องเบิกความเป็นพิรุธหลายขั้นตอน...ใช้คำตอบทำนองว่าไม่ทราบหลายคำถาม
ทั้งเรื่องกำหนดการเดินทาง และขั้นตอนการโอนหุ้น”
ข้อหาพิรุธอย่างหนึ่ง ปัญญา
อุชชาชน เป็นคนปรุงว่า “กรณีใช้ ‘ทนายความโนตารีพับลิค’ เป็นผู้จัดทำตราสารการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ
ซึ่งใช้กันมากในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในไทยยังไม่มีกฎหมายรับรองสถานะโดยตรง”
ด้วยความไม่ทันกับ ‘ปัญญาโลก’ นี้เอง ตลก.ปัญญา จึงฟันว่า “เป็นลักษณะการสร้างพยานเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ให้เป็นสากลโดยไม่จำเป็น เกินปกติวิสัยของการโอนหุ้น” ซึ่งอธึกกิตชี้ว่า “มันมีค่ามีราคามีอิทธิพลทางการเมือง”
ขนาดไหนกัน
น้าถึกฟัดเต็มเปา “ไม่เบิ่งตาดูว่ามูลค่ามันต่างกันไกล
เออ ถ้าเป็นหุ้น (‘เนชัวร์’) ที่ผัวเมียปกปิดไว้ใช้เชลียร์ ใช้ให้ร้ายป้ายสีโจ๋งครึ่ม ก็ว่าไปอย่าง” โอว ตลก.ไทย ตกต่ำกันถึงเพียงนี้
เปิดวิสัยทัศน์ชัดแจ้งเห็นจริงแล้วว่า
การเป็นสากล “ไม่จำเป็น” และปกติวิสัยคือต้องไม่ทันสมัย นี่คือการปูทางไว้สำหรับตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหารพรรคนับสิบปี
โละทิ้งทั้งกระบิ แม้อาจจะไม่ถึงขั้นยุบทั้งพรรค