วันเสาร์, มกราคม 11, 2563

โจรปล้นฆ่าที่ร้านทองลพบุรี "ไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่นอน” ภารกิจแรก ‘ตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔’ ตามล่า

เหตุคนร้ายแต่งกายเหมือนคอมมานโดสวมหมวกคลุมหน้า บุกปล้นร้านทองอุกอาจกลางห้างในศูนย์การค้าที่ลพบุรี ทำให้ไทยเป็นประเทศ ไม่น่าไป ยิ่งขึ้นอีกขั้น นอกเหนือจากการมีผู้นำด้านได้ดีแต่พล่าม ไม่ทำประโยชน์อะไรต่อมวลชน

เพราะการใช้ปืนเก็บเสียง (ที่คนถาม “ซื้อหามาได้ง่ายๆ เหรอ”) ยิงก่อนปล้น มีคนบาดเจ็บ ๔ และตาย ๓ ศพ ในจำนวนนั้นเป็นเด็กชายวัยแค่ ๒ ขวบกำลังจะโต ถูกกระสุนหลงเข้าหัว อย่างโหดเหี้ยมในเมืองทหาร ไม่น่าใช่แค่เศรษฐกิจกดดัน

แต่มันเป็นปัญหาสังคมการเมืองที่หลายคนย้อนคิด นี่หรือไทยเป็นประเทศ มีน้ำใจ โอบอ้อมอารี เกลียดความรุนแรงหากแต่ สยบยอมเผด็จการทุกแบบ ยกเว้น เสียงส่วนใหญ่“ถึงเวลาฆ่ากันก็อำมหิต ตายเป็นเบือ

ไม่ใช่แค่การเมืองอย่าง ๖ ตุลา พฤษภา ๕๓ ไอ้ที่ฆ่าล้างแค้นหรือฆ่าเพราะเหยียบตีนกัน พูดผิดหูกันขับรถปาดหน้ากันก็มากมาย คนไทยไม่ได้ดีเลิศเลอกว่าประเทศอื่น และก็ไม่ได้เลวร้ายกว่าประเทศอื่น แต่อาจจะหลงตัวเอง สำคัญตัวเองผิดกว่าประเทศอื่น”

นั่นคือความจริงที่ อธึกกิต แสวงสุข สะท้อนความรู้สึกจาก แอ็ดมินเวิร์คพ้อยท์(ซึ่งใช้นาม วิเคราะห์บอลจริงจัง) ระบายความสะเทือนใจไว้ว่า “คนไทยไม่ได้ป่วยทางการเมืองอย่างเดียว ป่วยทางจิต ป่วยทางความคิด ความรับรู้ ใช้อารมณ์แล้วคิดว่ากรูเป็นพุทธอีกต่างหาก”

สมดังคำ สมพงษ์ บัวภา ศรีบุญฮุง ว่า เมืองพุทโธ่ เนื่องจากคนร้ายที่กำลังลอยนวลนี้ “มีการวางแผนมาอย่างรอบคอบ ดูลักษณะการจับอาวุธ การเดิน มีความนิ่งพอสมควร ไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่นอน”

ซ้ำน่าคิดต่อข้อสังเกตุของ Thanapol Eawsakul ที่ชี้ว่า “ยิ่งเป็นในจังหวัดลพบุรีด้วยแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะเป็นหรือเคยเป็นทหารมาก่อน” อันเป็นอุทธาหรณ์ ถ้าผู้ถืออาวุธสำหรับปกป้องชาติและประชาชน กลับเป็นโจรเสียเอง ชีวิตชาวบ้านจะเลวร้ายขนาดไหน
 
“เดินๆ อยู่ ถ่ายรูปกับครอบครัวอยู่ แต่อาจโดนยิงตายได้ทุกเมื่อ ในเมื่อความปลอดภัยไม่มีแล้วใครจะอยากไปเที่ยว...นี่เป็นคดีที่คนจับตามองทั้งประเทศ ตำรวจทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำอย่างไรก็ได้ เพื่อลากคนร้ายเอามาชดใช้ความผิด”


ตำรวจที่เข้ารับงานดังว่านี้ (ดูเหมือนจะเป็นกรณีพิเศษ) คือ มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔ ภายใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ที่ “น่าจะเป็นภารกิจแรก” และ “จะได้แสดงศักยภาพ”

จึงต้องทำความรู้จักหน่วย ตำรวจมหาดเล็กฯ นี้ ว่าจะเป็นความหวังพิทักษ์สันติราษฎร์ได้ดีกว่าตำรวจแห่งชาติยุค เด็กป้อม กำลังดังเพราะมีมือปืนมืดกราดกระสุนใส่รถขณะตนไม่อยู่ แล้วมีเสียงคลิปไม่ค่อยปริศนาหลุดออกมาห้ามคดี

เริ่มแต่ราชกิจจาฯ ๒๗ มกรา ๖๒ “เปลี่ยนแปลงชื่อ กองบังคับการถวายความปลอดภัยและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็น กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔” โดยมีเขตอำนาจรับผิดชอบทั่วราชอาณาจักร

ย้อนถอยไปสักสองปีสมัยที่ผู้บังคับการฯ ๙๐๔ ได้เป็นรองผู้การกองปราบใหม่ๆ ใน “ภาพลักษณ์นักบู๊และนักธรรม” ควบกันไป ไม่เพียงเขา “เป็นมากกว่ารองผู้การฯ คุมยิ่งกว่ากำลังคอมมานโด” ถวายงานรักษาความปลอดภัยมกุฏราชกุมาร (ขณะนั้น)

และขณะนี้เรียกได้ว่าเป็นผู้บังคับการกองกำลัง ‘Elite’ ประจำพระองค์รัชกาลที่ ๑๐ แล้วยังเป็นน้องชายคนสุดท้องของพลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานข้าราชบริพารในพระองค์ ผู้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทฯ ของรัชกาลปัจจุบัน
 
พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ดำรงหลายตำแหน่ง เขาเป็นทั้งราชเลขานุการในพระองค์ เลขาธิการพระราชวัง ประธานคณะกรรมการและผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ น่าจะเป็นที่ภูมิหลังมาจากสายพลเรือนเช่นเดียวกับน้องชาย

เบื้องต้น พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตร์บัณฑิตสาขาสื่อมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ส่วน พล.ต.ต.ต่อศักดิ์จบจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น้องชายผันเข้าสู่อาชีพเครื่องแบบตามอย่างพี่

ทั้งคู่เติบโตในราชการอย่างรวดเร็วและมั่นคง ต่อศักดิ์ใช้เวลา ๑๒ ปีไต่จากระดับสารวัตรสู่ผู้บังคับการ ด้านสถิตย์พงษ์เริ่มจากเข้าเป็นศิษย์การบินกำแพงแสน ไปสู่โรงเรียนนายทหารชั้นบังคับฝูง รุ่น ๔๓ ต่อยังโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ รุ่น ๒๙ จนเข้าวิทยาลัยการทัพอากาศ รุ่น ๒๗

“เขาเป็นราชเลขานุการในพระองค์พระบรม ปี ๒๕๔๘” ตามข้อความบนโพสต์ของ Somsak Jeamteerasakul เมื่อปี ๖๐ ที่ว่า “เขาไปรู้จักกับพระบรมฯ ได้ยังไง และทำไมจึงได้รับความไว้วางใจมากมายขนาดนี้ อันนี้ผมไม่ทราบ

มีบางคนพูดทำนองว่า เขาเคยทำการบินไทยตั้งแต่ก่อนจะเป็นบอร์ด และสมัยที่พระบรมฯ ไปขับเครื่องการบินของการบินไทยบ่อยๆ ก็เลยได้รู้จัก (ช่วงที่ได้ไปรู้จัก คุณนุ้ย ด้วยอะไรแบบนั้น)”