วันพฤหัสบดี, กันยายน 12, 2562

ศาลรัฐธรรมนูญคล้องจองตามครรลอง คสช. ไม่รับฟ้องคดีประยุทธ์ถวายสัตย์ขาดวิ่น


จะแถแถกแหลกราญอย่างไร ได้เห็นกันทั่วว่าตะแบงเลี่ยงผิดไปอย่างด้านๆ รัฐบาล คสช.๒ ของประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ก็ยังดันทุรังต่อไปไม่ใส่ใจเทพยดาฟ้าดิน จนผู้คนชักเริ่มสงสัยแล้วว่า หรือฟ้าดินจะเป็นใจ

กรณี ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.หัวคะแนนพรรคพลังประชารัฐ และรัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรฯ ถูกตราหน้าโดยหนังสือพิมพ์ออสเตรเลียว่าโกหกต่อสาธารณะชน เรื่องเคยต้องคดีที่นครซิดนี่ย์ว่าแท้จริงเขาถูกจำคุก ๔ ปี ในความผิดฐานจัดการนำเข้าเฮโรอิน ๓.๒ กิโล และขนถ่ายไปสู่ลูกค้า

แม้หลักฐานรายละเอียดจากเอกสารสำนวนคดีที่ ซิดนี่ย์มอร์นิ่งโพสต์ นำมาเปิดโปงจะรัดตัวธรรมนัสเพียงใด ก็ยังไม่มีการขยับให้ข้อเท็จจริงกระจ่างจนสามารถชี้ยันได้ว่า คำแก้ตัวทั้งจากธรรมนัสและประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้มีอุปการคุณของเขา ยังฟังไม่ขึ้นกระทั่งวันนี้

จนมีบางคนเปรยว่า ขนาดกรณีนายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ไม่ครบตามระเบียบรัฐธรรมนูญยังไถสีข้างกันไปได้ นับประสาอะไรกับรอยด่างของรัฐมนตรีช่วยว่าการคนหนึ่ง จะลากถูลู่ถูกังกันไปไม่ได้ มิใยนักวิชาการสายซ่าหริ่มแนะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้รู้แล้วรู้รอดไป

เจษฎ์ โทณวณิก อดีตเคยเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งข้อสังเกตุว่าเรื่องของธรรมนัสนี่มีสองประเด็นจะต้องหาคำตอบ คือประการแรก เขาเคยติดคุกที่ออสเตรเลียจริงหรือไม่ ข้อนี้น่าจะถามว่าเขาติดคุก จริงแค่ไหนมากกว่า ๘ เดือนคดีมโนสาเร่ หรือว่า ๔ ปีคดีร้ายแรงกันแน่

ในเมื่อบทความของซิดนี่ย์มอร์นิ่งโพสต์อ้างข้อมูลที่ได้มาจากเอกสารสำนวนคดีของศาล สิ่งที่เจษฎ์แนะให้รัฐบาลไทยทำเรื่องขอข้อมูลหรือสำเนาเอกสารเหล่านั้นโดยตรงจากศาลออสเตรเลียเป็นทางออกที่ควรทำ จะหวังให้หนังสือพิมพ์นำมาตีแผ่โจ่งแจ้งคงไม่ได้ คงมีข้อจำกัดในการเผยแพร่เอกสารตัวจริงอยู่

อีกประเด็นที่เจษฎ์ชี้ ว่าการเป็นผู้กระทำผิดติดคุกคดียาเสพติดในต่างประเทศ เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามในการเป็น ส.ส. (ตั้งแต่ขั้นตอนการลงสมัครมาเลย) และรัฐมนตรีหรือไม่ แม้นว่านักกฎหมายอื่นๆ ต่างก็ให้ความเห็นกันเกร่อว่าใช่แน่ ความผิดย่อมติดอยู่กับตัว ไม่ใช่เปลี่ยนที่แล้วมลทินจะหายไป

เจษฎ์บอกว่าถ้าไม่ยื่นเรื่องให้ กกต.ชงส่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ก็ให้ ส.ส.ฝ่ายค้านร่วมกันเสนอประธานสภา ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสิ

 
แต่ว่าช้าก่อน ศาลรัฐธรรมนูญของไทยนี่มีทั้งประวัติและท่าทางปัจจุบัน ทั้งเอื้อและให้ท้ายรัฐบาลทหาร ที่แปลงร่างมาเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจรัฐประหาร แบบเดียวกับ อียิปต์โมเดลอย่างไรอย่างนั้น

ดูแต่คดีที่ (ผ่านทาง) ผู้ตรวจการแผ่นดินและอดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นกันไว้สิ “ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้อง” จากนายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทั้งคู่ อ้างว่า พรป.วิธีพิจารณา ๒๕๖๑ ไม่ยอมให้ทำ

ศาลยกมาตรา ๔๖ ขึ้นมาตีตก “ต้องเป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพอันเกิดจากการกระทำของหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ” จึงจะทำได้ มิหนำซ้ำ วรรคสาม ของมาตรานี้ยังชี้ว่า

“การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำทางการเมือง (Political Issue) ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหาร ในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์...ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้

หนักเข้าไปอีก ศาลอิง พระราชดำรัส เมื่อ ๑๖ กรกฎา ที่ประยุทธ์เอาใส่กรอบมาทำพิธี (วันที่ ๒๗ สิงหา) อ้างว่าได้กระทำการตามประราชประสงค์ครบถ้วนแล้ว จะขาดตกบกพร่องอย่างไรไม่สำคัญ ศาลบอกว่า “การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด”


ศาลรัฐธรรมนูญคล้องจองตามครรลอง คสช.อย่างนั้น ถ้าคิดให้ดีนี่เป็นชั้นเชิงแยบยลที่จะเอาศาลรัฐธรรมนูญมาฟอกตัวให้แก่ธรรมนัส เท่านั้นไม่พอยังจะเป็นการนำศาลรัฐธรรมนูญมาฟอก (ผง) ขาวให้รัฐบาลไทย (และ/หรือเลยเถิดไปถึงจิตสำนึกทางอนารยธรรมความเป็นไทยๆ ด้วย)

ว่าประเทศนี้ ชนชาตินี้ กระทำความผิดอาญาโดยมาตรฐานสากลในการค้ายาเสพติด ไม่เป็นไร เป็นใหญ่เป็นโตยกย่องเชิดชูกันได้ ขอให้ รักชาติเหลือหลายยิ่งนักเท่านั้น