เพิ่งได้ยินกันได้ไม่ถึงเดือน
สินค้าโอท้อปยุค คสช. รวมถึงยาเสพติดภาคอีสาน ค้าขายทั้งนำเข้าและส่งออก ‘ยาไอ๊ซ์’ ส.ส.หญิงหนองคายฝ่ายประชาธิปไตยเอามาปูด
วันนี้มีน้ำมันเถื่อน ‘โอท้อปภาคใต้’ ขนข้ามแดนจากมาเลเซียกันโจ๋งครึ่ม
นสพ.ผู้จัดการรายงานเรื่องส่วนต่างราคาน้ำมันในไทยกับฝั่งมาเลย์
ตกลิตรละ ๑๐ บาท ฝั่งโน้นเบนซิน ๙๕ และ ๙๗ ไม่เกิน ๒๐ บาทต่อลิตร ดีเซล ๑๘ บาท
ฝั่งนี้เบนซินไร้ตะกั่วไม่ว่า ๙๑-๙๗ หรือ อี ๒๐ และ อี ๘๕ ตกราว ๓๕ บาทต่อลิตร
ดีเซล ๒๘-๓๐ บาทต่อลิตร
จึงมีการลักลอบขนน้ำมันเข้าอย่าง ‘เถื่อน’ จำนวนวันละเท่าไรไม่แจ้ง แต่เท่าที่แหล่งข่าวเขารู้
ถ้าขนทางบกใช้รถกระบะความจุคันละ ๑-๓ พันลิตร ชนิดที่ผู้ประกอบการ (เถื่อน)
สร้างถังเก็บน้ำมันขนาดยักษ์กันไว้เกร่อสามจังหวัด สงขลา สตูล และนราธิวาส
ขนกันวันละกี่เที่ยวกี่คันก็ได้
เข้ามาแล้วถ่ายลงโกดังถังเก็บ รอผ่องถ่ายกระจายออกไปตาม ๙ จังหวัดภาคใต้
ซึ่งแน่นอนตอนข้ามแดนต้องมีอุปสรรคขวากหนามบ้างละ ไหนจะด่านรศุลกากร จุดตรวจโรงพัก
และด่านทางหลวง
ที่รถบรรทุกแต่ละคันต้องจ่ายค่าธรรมเนียม
ภาษีอากร การนี้มี ‘นายหน้า’ เอกชนบริการจัดทำให้ดดยคิดค่าป่วยการ ๕๐๐ (รายย่อย) ถึง (ขาใหญ่) ๕ พันบาทต่อเดือน
จัดการให้ทั้งเรื่องแจ้งทะเบียนรถและจ่ายภาษีแบบ ‘ไม่มีใบเสร็จ’
ส่วนการขนส่งทางน้ำนั้นรายงานบอกว่าเป็นกิจกรรมของขาใหญ่เกือบหมด
ซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวข้องสินค้าทางทะเลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงน้ำแข็ง
โรงงานปลากระป๋อง หรือปลาป่น ล้วนมี ‘connections’ เส้นสายโยงใยกับ
‘นักการเมืองท้องถิ่น’ ทั้งนั้น
เรือจะขนมาถึงท่าให้รถบรรทุกสิบล้อ-หกล้อรับไป
ส่งตรงถึงปั๊มและโรงงานอุตสาหกรรม โดยรวมนัยว่าสามารถเลี่ยงภาษีปีละไม่ต่ำกว่า ๑
หมื่นล้านบาท
‘นักการเมืองท้องถิ่น’ ตอนนี้มีเยอะที่ (ถูกดูด) เข้าสังกัดพลังประชารัฐของเฮียตูบ ผ่านทาง ‘กลุ่มสามมิตร’ และกำลังเป็นปัญหาให้หัวหน้าใหญ่ ‘นักรัฐประหาร’ และรัฐบาล คสช. ๑-๒ คันเท้า ต้อง “เอ็ดมาจาก
Osaka เตือนสตินักการเมืองเลือกกระทรวง”
มันน่าฉุน ทำให้เสียอารมณ์
กำลังเพลินกับอาหารการกินอยู่เชียว เที่ยวงาน ‘จี ๒๐’
นี่อาหารดีแน่ แต่ดนตรีเพราะด้วยไหม เฮียเค้าไม่ได้บอก เปลี่ยนจาก ‘เอ็นจอย’ มาเป็น ‘ซีเรียส’ พอดี
“ทุกกระทรวงมีความสำคัญเท่ากันหมด...ขออย่าให้เกิดความวุ่นวายมาก...เพราะถูกเลือกมาด้วยปวงชนชาวไทย
ไม่ใช่ประชาชนชาวไทย” อันนี้ไม่เข้าใจ ปวงชนชาวไทยสำคัญกว่า ‘ประชาชนชาวไทย’ อย่างไร ได้ยินแค่ “ไม่ว่าจะใครก็ตาม
ต้องเข้าใจผมเพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรี”
เรื่องมาจากพวกสามมิตรฮึดเถียงนายว่าเอาเก้าอี้คุมกระทรวงไปให้พรรคชาติพัฒนาได้ไง
ส.ส.น้อยกว่าที่พวกตนดูดมาตั้งเยอะ แค่สามเสียงได้ ๑ ว่าการกระทรวง ๑ รัฐมนตรีช่วย
เลยเจอไม้แข็งที่ไม่เพียงแต่เฮียตูบฉุนข้ามสมุทร
พรรคพลังประชารัฐก็ยังนั่งจ้ำจี้จ้ำไชอธิบายว่า
“แม้พรรคชาติพัฒนาจะได้เพียง ๓ เสียง แต่ก็เป็น ๓ เสียงที่ได้มาด้วยตัวเอง
ต่างกับกลุ่มสามมิตรที่อาศัยเงินทุนและทรัพยากรจากพรรคพลังประชารัฐในการสนับสนุนหาเสียงเลือกตั้งจนได้เป็น
ส.ส.”
ถ้างั้น “หากกลุ่มสามมิตรยังยืนกรานว่าพวกตนได้เป็น
ส.ส.เพราะตัวเอง ก็ให้นำเงินที่ใช้ในการหาเสียงมาคืนให้กับพรรค
จากนั้นกลุ่มสามมิตรจะอยู่หรือออกจากพรรคพลังประชารัฐก็ตามใจ”
ทั้งๆ เงินที่พลังประชารัฐออกให้ใช้หาเสียงมาจากไหนแจ้งไม่หมด
ส่วนที่แจงแค่จิ๊บจ้อยขนาดสิบล้าน ไอ้ที่ไม่ยอมแจ้ง แถมแจงยึกยัก
ถามว่าหน่วยราชการและนายทุนยักษ์ๆ ไม่ยักอวด ดันบอกแค่ “ไม่มีต่างชาติบริจาค”
อุตส่าห์ตากหน้ากันขนาดนี้คุณเฮียไม่เห็นราคา
สมกับที่โดนชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อัดมาอย่างต่อเนื่องจนถึงวานนี้ (๓๐ มิ.ย.) “ประชาชนก็ได้เห็นพรรคพลังประชารัฐแตกดังโพละ...ตอนนี้อยู่ถึง
๖ เดือนชักมากไปเสียแล้ว”ขอบอกว่า ‘โง่เองช่วยไม่ได้’
“สามมิตรเพิ่งมาจะเอาอะไรมาก
ได้แค่นี้ก็คุ้มแล้ว” เสี่ยอ่างเพื่อนห่างๆ ผบ.ทบ. วิพากษ์ต่อ รัฐบาล ‘ต.๑-๒’ “ได้ดีเพราะกลุ่ม กปปส. บุญคุณจึงต้องทดแทน”
ฉะนั้นสามมิตรต้อง “ยอมกลืนเลือด จะไปทำแบบลูกนอกไส้อย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย
คงไม่ไหว เกมการเมืองคนละชั้น ขนาดยอมกลืนน้ำลายเลียลิ้น”
แถมเตือนพรรคฝ่ายค้านด้วยว่า “ไม่ต้องไปอภิปรายให้เสียเวลา
แค่รอให้ พกอ. (พังกันเอง) ก็พอ...เพราะขู่ไปเขาด้านชา อยู่มาตั้ง ๕ ปี
คงไม่รู้สึก”