“นโยบายที่แฝงไปด้วยคำถาม”
รองนายกฯสมคิดกล่าวในสภา จดโดย Anchan Chaiyanw บางตอนว่า
“EEC ไม่มีได้ยังไง!!!
เราจะเอาอะไรไปสู้กับเวียดนาม
EEC มันต้องสร้างจุดขาย !!!
EEC มันจึงเกิด!!!!
รถไฟฟ้าเชื่อม3สนามบิน เขาจึงมาลงทุน”
ผมเองนั่งฟัง แต่ไม่ได้จด ฟังแล้ว ต้องชมวิธีพูดและเนื้อหาภาพรวม แต่ผมขอเสนอแนะว่า นโยบายยังมีจุดโหว่ มีปมประโยชน์แก่อภิมหานายทุนแฝงอยู่
1. ให้สิทธิประโยชน์ต่างชาติมากเกินไป
ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับโครงการ EEC แต่ไม่เห็นด้วยที่ให้สิทธิประโยชน์ต่างชาติมากเกินไป
ต่างชาติที่มาลงทุนด้านอุตสาหกรรมนั้น ปกติจะไม่มีใครวางแผนการสร้างโรงงานและการผลิตนานกว่า 20 ปี
โดยเฉพาะลักษณะอุตสาหกรรมแบบมูลค่าเพิ่มสูงที่รัฐบาลหวังนั้น การเปลี่ยนแปลงในระดับ disruption อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าธุรกิจอื่น ภายใน 5-10 ปีด้วยซ้ำ
ดังนั้น การให้สิทธิต่างชาติเช่าที่ดินที่นานเกินกว่า 20 ปี จึงไม่จำเป็น และต่อให้ถกเถียงว่าจำเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะยืดเวลาเกินกว่า 30 ปี
การให้สิทธิต่างชาติเช่าเป็นเวลานานมากนั้น นอกจากไม่มีความจำเป็นในด้านอุตสาหกรรมแล้ว ยังเป็นการเปิดประตูต้อนรับนักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติอีกด้วย
ซึ่งธุรกิจประเภทนี้ มิใช่ต้องใช้เทคโนโลยีมากมายอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีต่างประเทศ
การให้สิทธิประโยชน์แก่ต่างชาติที่เกินจำเป็น จึงเข้าทางนายทุนไทย ที่วิ่งกว้านซื้อที่ดินล่วงหน้าก่อนประกาศโครงการ เพื่อจะขายสิทธิแก่นักลงทุนต่างชาติ
และรายที่มีท่าเรือเอกชนอยู่ในมือ
2. ให้สิทธิประโยชน์อภิมหาเศรษฐีมากไป
โครงการ EEC นั้น จะต้องไม่ไปเพิ่มภาระต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำ และปัญหาด้านสภาพแวดล้อม
ในเรื่องโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น
ผมเคยวิเคราะห์แล้วว่า การที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้าที่สัตหีบ แล้วต้องกระหืดกระหอบ นั่งรถไฟความเร็วสูง ไปเปลี่ยนเครื่องบินที่สุวรรณภูมิหรือดอนเมืองนั้น เป็นเรื่องเพ้อฝัน
ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ระบบรถไฟความเร็วสูง แค่ใช้รถไฟรางคู่ยกข้ามถนน ก็ได้รถไฟความเร็วปานกลางแล้ว
ที่ท่านรองนายกฯ สมคิดระบุว่า รัฐไม่ต้องควักกระเป๋าสำหรับโครงการไฮสปีดเรลนั้น ก็ไม่ถูกต้อง
ในโครงการไฮสปีดเรลนั้น รัฐต้องควักกระเป๋า 1.5 แสนล้านบาท และยังมีการนำที่ดินมักกะสันเข้าไปในโครงการ ที่ตีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงนับแสนล้านบาท
สำหรับรถไฟรางคู่ ยกข้ามถนนทุกจุด สร้างรั้วโปร่งเพื่อกันสัตว์ตลอดทาง จะลงทุนเพียง 5 หมื่นล้านบาท และไม่มีปัญหาส่งมอบพื้นที่ เพราะ ร.ฟ.ท. ทำเอง
ในขณะที่โครงการไฮสปีดเรล 1.5 แสนล้านบาท บวกกับอีกหนึ่งแสนล้านบาท จากการตีราคาที่ดินต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม รัฐจะต้องใช้ทรัพยากรของส่วนรวมเข้าไปร่วมถึง 2.5 แสนล้านบาท
แต่จะมีปัญหาส่งมอบพื้นที่ เพราะกินพื้นที่จำนวนมาก แบบเดียวกับที่ทำให้ ร.ฟ.ท. ต้องจ่ายค่าโง่แก่โฮปเวลล์นั่นแหละ เพราะเร่งเซ็นสัญญากัน แทนที่จะเคลียร์พื้นที่ให้จบก่อน
ไม่ยากเลยที่จะชี้ว่า แบบใดเหมาะกับสภาวะปัจจุบันมากกว่ากัน
นอกจากนี้ รถไฟรางคู่สามารถเชื่อมเข้ากัมพูชาและเวียดนามได้เลย ในขณะที่รถไฟความเร็วสูงไม่สามารถทำได้ เพราะใช้รางคนละขนาดกับอินโดจีน
การอ้างความจำเป็นต้องเชื่อมสนามบินสัตหีบ เข้ากับสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่จริงนั้น ผมวิเคราะห์ว่า เหตุผลหลัก ก็เพื่อให้เอื้อมมือหยิบที่ดินมักกะสัน
เพราะมีสถานีแอร์พอร์ตเรลลิงค์อยู่ตรงนั้น ดังนั้น เมื่อต้องการคว้าที่ดินมักกะสัน ก็ต้องวาดฝัน เชื่อมสุวรรณภูมิ ยาวไปถึงสนามบินสัตหีบ
ทั้งที่ไม่มีใครเชื่อได้ ว่าจะมีนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจ ที่มีความจำเป็นจะต้องเดินทางความเร็วสูง ระหว่างสองสนามบินนี้ได้อย่างไร
การที่รัฐบาลลุง(1)จัดโครงการที่เอื้อประโยชน์แก่อภิมหาเศรษฐี เป็นผู้ผูกขาดโครงการแต่ผู้เดียว จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร ในเมื่อคนรวยสุด มีแต่รวยขึ้น
นอกจากนี้ การประมูลที่อ้างว่าเป็น International bid ก็ไม่จริง ผู้ซื้อซองจำนวนมากเป็นเพียง supplier และ sub contractor ที่ถูกขอร้องให้มาช่วยซื้อ เพื่อให้ดูจำนวนอุ่นหนาฝาคั่งเท่านั้น
รวมทั้งไม่ใช้วิธีประมูลตัวเลขเดียวที่โปร่งใส กลับใช้รูปแบบคณะกรรมการ ที่มีการเจรจาไปมา เสี่ยงต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ด้งนั้น ในภาพนโยบายรวมที่สวยหรู ประชาชนต้องพลิกดูข้างหลังภาพ เพราะผลประโยชน์มันแฝงอยู่ข้างหลัง
วันที่ 26 กรกฎาคม 2562
ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
Facebook Thirachai Phuvanatnaranubala
(เครดิตภาพตามแหล่งที่แสดงชื่อ)
หมายเหตุ: การกล่าวถึงชื่อบุคคลใดมิใช่เป็นการกล่าวหากระทำความผิด แต่เป็นเพื่อประกอบการบรรยายทางวิชาการเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในการรักษาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
https://www.facebook.com/100026274522465/posts/334763724076109?s=100002053182894&sfns=mo
Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
...
คนที่อภิปรายได้เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะนั่นเป็นการแสดงความเลวร้ายขั้นพื้นผิว ไม่มีลับลมคมใน
ถ่อยก็คือถ่อย
โง่ก็คือโง่
แต่คนที่อภิปรายได้เลวร้ายที่สุดคือสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
โดยเฉพาะประเด็นเรือ่งทุนใหญ่ ทุนผูกขาดที่เอ่ยชื่อมา ซีพี ไทยเบฟ
ที่บอกว่าทุนเหล่านี้โตมากแล้ว ไปแข่งกับต่างประเทศได้หมดแล้ว แต่รัฐบาลดึงกลับมาเพื่อช่วยประเทศไทย ช่วยคนไทย
แต่ข้อเท็จจริงคือตลอด 5 ปี ของคณะรัฐประหาร รัฐบาลคณะรัฐประหารออกนโยบายเอื้่อทุนผูกขาด ซีพี และไทยเบฟ นับครั้งไม่ถ้วน
คนที่อภิปรายได้เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะนั่นเป็นการแสดงความเลวร้ายขั้นพื้นผิว ไม่มีลับลมคมใน
ถ่อยก็คือถ่อย
โง่ก็คือโง่
แต่คนที่อภิปรายได้เลวร้ายที่สุดคือสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
โดยเฉพาะประเด็นเรือ่งทุนใหญ่ ทุนผูกขาดที่เอ่ยชื่อมา ซีพี ไทยเบฟ
ที่บอกว่าทุนเหล่านี้โตมากแล้ว ไปแข่งกับต่างประเทศได้หมดแล้ว แต่รัฐบาลดึงกลับมาเพื่อช่วยประเทศไทย ช่วยคนไทย
แต่ข้อเท็จจริงคือตลอด 5 ปี ของคณะรัฐประหาร รัฐบาลคณะรัฐประหารออกนโยบายเอื้่อทุนผูกขาด ซีพี และไทยเบฟ นับครั้งไม่ถ้วน
กลายเป็นว่า รัฐบาลคณะรัฐประหาร ออกนโยบายเอื้อทุนผูกขาด แล้วประชาชนทั้งประเทศต้องมาสำนึกบุญคุณ ทุนผูกขาดเหล่านี้อีก
ทั้งหมดเป็นฝีปากของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ปล. เงินที่ใช้ในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐก็มาจากทุนผูกขาดเหล่านี้แหละ โดยผ่านประวิตร วงษ์สุวรรณ เจ้าของพรรคพลังประชารัฐ
Thanapol Eawsakul
ทั้งหมดเป็นฝีปากของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ปล. เงินที่ใช้ในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐก็มาจากทุนผูกขาดเหล่านี้แหละ โดยผ่านประวิตร วงษ์สุวรรณ เจ้าของพรรคพลังประชารัฐ
Thanapol Eawsakul