วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 25, 2562

"ขยับเข้าไปอีกปล้อง" สู่ความเป็น คสช.๒ ของจริง รัฐมนตรีสืบทอดอำนาจไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน

ขยับเข้าไปอีกปล้อง ให้รัฐบาล ๑๙ พรรคและนายกฯ คนเดิมจากรัฐประหาร เป็นการสืบทอดอำนาจ คสช.โดยประจักษ์ทั้งพฤตินัยและนิตินัย ดูได้จากบทบาทของ ปปช. หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตชุดปัจจุบันที่ คสช.ตั้ง

ถึงแม้สำนักงานนี้ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรอิสระ หลายครั้งกลายเป็นอิสระจากหลักนิติธรรม บ่อยไปถ้าคดีไหนเป็นคุณแก่ คสช.ก็ทำหน้าที่เสมือนทนายแก้ต่างให้ หากคดีใดเป็นพิษร้ายกับนักการเมืองและนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย องค์กรนี้จะแปลงกายเป็นศาลไคฟงฟันขาดสะบั้น

ตัวอย่าง ยกมาให้ดูกันในประเด็นเพิ่งเกิดหมาดๆ หลังจากมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เลขาธิการ ปปช. วรวิทย์ สุขบุญ ออกโรงปฏิบัติหน้าที่เรื่องการยื่นแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย คือ

“หากเป็นคณะรัฐมนตรีเดิมที่ได้รับการแต่งตั้งต่อเนื่องให้เป็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ไม่ต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินตามกฎหมายใหม่ของ ป.ป.ช. เพราะจะยึดจากการยื่นในครั้งแรกแล้วที่เข้ารับตำแหน่ง”

โดยทั่นประธาน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ (ที่มีเสียงซุบซิบมานานแล้วว่าเป็นเด็กในคาถาของทั่นรองหัวหน้า คสช.-รองนายกฯปัจจุบันหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐตัวจริง) ช่วยย้ำต่างกรรมต่างวาระว่า “ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองและยังไม่พ้นกำหนด แล้วได้รับการแต่งตั้งใหม่ ก็ไม่ต้องยื่นพ้นและไม่ต้องยื่นเข้า”

อ้างว่าเพื่อให้ลดกระบวนการลงไป เออ มันง่ายสำหรับ ปปช. แต่ไม่ง่ายต่อผลประโยชน์ของชาติ และความโปร่งใส ช่วงรอยต่อระหว่างการยื่นพ้นและยื่นเข้าที่ละเลยไปนี่ สักคนละสี่ซ้าห้าร้อยล้านรวมกันอาจเป็นพันเป็นหมื่นล้านก็ได้

รัฐมนตรีใหม่ที่เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช.๑ ชุดที่แล้ว ดูเหมือนจะมีราว ๒๐ คนเห็นจะได้ ข้อสำคัญอยู่ที่สามสี่คนยังค้างคาใจประชาชน รายหนึ่งนั่นมีนาฬิกาหรู ๒๕ เรือน ยืมเพื่อนมาใส่อ้างว่าคืนแล้ว เพื่อนก็ตายแล้ว แต่ไม่รู้นาฬิกาอยู่ไหน ปปช.ก็หยวน ยกเลิกสอบสวนซะแล้ว

หรือจะเป็นเพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีระเบียบ ปปช.เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั่นเลขาฯ อธิบายว่า “สำหรับการยืมทรัพย์สินจะต้องแจ้ง ป.ป.ช. ด้วยหรือไม่นั้น ป.ป.ช. อยู่ระหว่างการร่างระเบียบให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่” มีหลายประเด็นจะต้องทำการร่างให้ครอบคลุมทั่วทั้งปัญหา

“เช่น ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินของสามีหรือภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสด้วย รวมถึงการยืมทรัพย์สินก่อนเข้ารับตำแหน่งอยู่ในบริบทที่จะต้องแจ้งต่อ ป.ป.ช. ด้วยหรือไม่ อีกทั้งเห็นว่าประเด็นสำคัญของการยืมทรัพย์สินคือ ทรัพย์สินนั้นยืมมาจริงหรือไม่ หรือเป็นทรัพย์สินของตัวเองแล้วบอกว่าไปยืมมา”

นายวรวิทย์บอกว่าเหล่านั้นต่อนี้ไป “เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะต้องตรวจสอบ” แต่กรณีที่เกิดขึ้นแล้วและเจ้าตัวผู้ถูกประชาชนชี้หน้าก็ยันว่าจบแล้ว ทั้งเลขาฯ และประธานฯ ไม่มีใครเอ่ยถึง ไม่เห็นมีคำอธิบายให้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น

รวมทั้งคดีที่ ปปช.ชี้มูลความผิดต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ พล.ตอ.ปทีป ตันประเสริฐ และพวก ในคดีโครงการก่อสร้างโรงพัก ๓๙๖ แห่งในวงเงินกว่า ๕.๘ พันล้านบาท จะเป็นการ เสร็จนาฆ่าโคถึก...หรือไม่นั้น
 
ไม่สำคัญเท่าได้มีคนติดคุกเพราะเรื่องนี้ล่วงหน้าไปแล้ว ก่อนเวลา ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท เพราะ ไม่มีหน้าที่ชี้มูลผู้นั้นคือนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ออกแถลงข่าวเรื่องการทุจริตดังกล่าว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องว่านายธาริตปฏิบัติตามหน้าที่ แต่ศาลฎีกากลับคำพิพากษาให้จำคุก ๑ ปี ไม่มีการรอลงอาญา ทั้งที่ ปปช.เพิ่งมาชี้มูลเมื่อ ๒๒ ก.ค.นี้เอง เป็นเหมือนดั่งว่ากระบวนยุติธรรมไทยในยุค คสช.นี่ไม่มีครรลองอะไรที่เป็นแก่นสารได้

ยิ่งถ้าฟังรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายที่ออกมาแก้ต่างแก้ตัวให้กับทั้งนายและพวกพ้อง ยิ่งเห็นแจ่มแจ้งว่า ขนาดมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ว่าแน่เขียนรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกให้ฝ่ายหนึ่งพ่ายและผิดตลอด อีกฝ่ายลอยตัวทุกกรณีแล้ว

วิษณุ เครืองาม แน่กว่าเยอะ ตีความให้ คสช. และพวกพ้องนักการเมืองที่นิยมรัฐประหารหลุดคดีได้ทุกกรณี ขออนุญาตนำคำของศิโรชต์ คล้ามไพบูลย์ มาใช้ในที่นี้หน่อย เพราะสรุปได้ถ้วนเกือบทุกประเด็น

“วิษณุชี้ข่าวประวิตรนั่ง ฮ.ไปงานพลังประชารัฐเหมือนนั่งรถหลวงแวะซื้อกับข้าว ระบุข้าราชการการเมืองยุคนี้เอาเวลาหลวงไปตีกอล์ฟไม่เป็นไร เพราะไม่มีระเบียบห้ามตรงๆ ส่วนพลังประชารัฐใช้รีสอร์ทซึ่งรุกที่ป่าไม่ถือว่าผิดเพราะไม่รู้ความ”

ใช้ตักกะบวยตีความกฎหมายแบบนี้ศรีธนญชัยยอมชิดซ้าย นี่ถ้า คสช.๒ อยู่ครบสี่ปี คงต้องมีศัพท์แสงใหม่ใช้แทนการเลี่ยงบาลี บิดเบือน และดันทุรังข้างๆ คูๆ ว่า วิษณุ เสียแล้วละ