กระนั้นก็ยังมีผู้พยายามจับประเด็นแล้วพบว่าเต็มไปด้วยความ
‘ย้อนแย้งและไร้ทิศทาง’ ไม่มีการระบุให้เป็นที่ชัดเจนว่า
“จะมีทิศทางการพัฒนาไปในทิศทางใด รูปธรรมที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร
ประชาชนอยู่ตรงไหน และจะได้ประโยชน์อะไรจากนโยบายเหล่านี้”
‘สมัชชาคนจน’ ออกแถลงการณ์วิจารณ์นโยบายเร่งด่วน ๑๑ ใน ๑๒ ข้อของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา เอาไว้ค่อนข้างละเอียด น่าที่จะรับฟังเพื่อสะท้อนไปยังบรรดาผู้ที่เห็นว่าความสงบราบเรียบของบ้านเมืองดีกว่าความชุลมุนอึกทึกซึ่งเต็มไปด้วยพลวัตในการมีกินมีใช้ของประชาชน
ขอย่อยเนื้อความนำมาแบ่งปันกับผู้อ่านดังนี้
เรื่องความมั่นคง ความปลอดภัย
และความสงบสุขในประเทศ เป็นเพียงการปกป้องอธิปไตยและเขตแดนในมิติทางการทหาร “อันคับแคบล้าหลัง”
เพราะไม่ได้มีการพูดถึง ‘ความมั่นคงของมนุษย์’ มุ่งแต่การจัดซื้ออาวุธ (ข้อ ๒.๒) “ไม่ก่อประโยชน์สาธารณะแก่ประชาชน”
โดยเฉพาะกำลังทหารและอาวุธนั้นถูกนำไปใช้ “ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมากถึง
๓ ครั้ง” ในรอบ ๓๐ ปี “สร้างความมั่นคงกับบุคคลบางกลุ่มบางพวกเท่านั้น”
แต่กับกลุ่มคนที่เสนอแนะความคิดเห็น
ไม่ว่าทางการเมือง และ/หรือการพัฒนา กลับเผชิญกับความหวาดกลัวจากอำนาจรัฐ
กลายเป็นการ “ลดความมั่นคงของมนุษย์ ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ไป
เรื่องการทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม “ในข้อ
๓.๓ กลับระบุในเชิงบังคับว่าประเทศมีเพียงพุทธศาสนิกชน
ที่ต้องเข้าถึงแก่นแท้คําสอนของพระพุทธเจ้า...ละเลยการให้คุณค่าต่อศาสนาหรือความเชื่ออื่นๆ”
‘สมัชชาคนจน’ ชี้ว่าก่อเกิดความย้อนแย้งต่อนโยบายข้อ ๒ และข้อ ๓.๔ กับ ๓.๑
ซึ่งในขณะที่บอกให้ปรับตามวัฒนธรรมสากล กลับ “ระบุให้อนุรักษ์วัฒนธรรมเอาไว้”
ทั้งยัง “จำกัดเสรีภาพของสื่อจากคำว่า กระตุ้นและสร้างความตระหนักของค่านิยมที่ดี”
ด้านการสร้างบทบาทไทยในเวทีโลก ‘สมัชชาคนจน’ เห็นว่า “รัฐบาลต้องปกป้องผลประโยชน์ของคนในประเทศ”
มากกว่า “เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมตามสากลเพื่อเข้าสู่เวทีโลก” คือต้องให้ความสำคัญแก่ ‘ต้นน้ำ’ ทางการผลิต
ในส่วนของการสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ คำแถลงนโยบาย “อาจมีการนำความมั่นคงของประเทศไปรวมอยู่ด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ตีความเพื่อใช้โจมตี หรือสกัดกั้นความเห็นต่าง ๆ ทางการเมือง” ได้
สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย
เห็นชัดว่าเคว้งคว้าง “ไม่มีการมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจไปในด้านใดด้านหนึ่งให้ชัดเจน”
ครั้นพอเจาะจงเรื่อง “รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและรายได้ให้กับเกษตรกร”
(ข้อ ๕.๓.๑) กลับบอกว่า “ไม่เป็นภาระกับงบประมาณแผ่นดินเกินสมควร”
มาถึงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
“เป็นการส่งเสริมให้กลุ่มทุนเข้าถึงทรัพยากร และบีบรัดคนจน คนในชนบทให้ไม่สามารถอยู่ในที่ดินของตนเอง
ทำให้คนจนต้องเป็นผู้เสียสละ แบกรับต้นทุนทางสังคมให้แก่นายทุน”
หมายเหตุ มีคอมเม้นต์ต่อการอภิปรายแถลงนโยบายของนายสมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ “โดยเฉพาะประเด็นเรื่องทุนใหญ่ ทุนผูกขาดที่เอ่ยชื่อมา
ซีพี ไทยเบฟ ที่บอกว่าทุนเหล่านี้โตมากแล้ว ไปแข่งกับต่างประเทศได้หมดแล้ว
แต่รัฐบาลดึงกลับมาเพื่อช่วยประเทศไทย ช่วยคนไทย”
Thanapol Eawsakul แย้งว่า
“แต่ข้อเท็จจริงคือตลอด ๕ ปี ของคณะรัฐประหาร รัฐบาลคณะรัฐประหารออกนโยบายเอื้่อทุนผูกขาด
ซีพี และไทยเบฟ นับครั้งไม่ถ้วน กลายเป็นว่า รัฐบาลคณะรัฐประหารออกนโยบายเอื้อทุนผูกขาด
แล้วประชาชนทั้งประเทศต้องมาสำนึกบุญคุณทุนผูกขาดเหล่านี้อีก”
ข้ามไปที่ “การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย”
ปรากฏว่ากลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง กลับไม่มีส่วนร่วมใดๆ (ข้อ ๘.๖.๑)
ซ้ำยังมีการ “ครอบงำความคิดและจำกัดเสรีภาพทางการเรียนรู้” (ข้อ ๘.๖.๕)
นโยบายที่ใช้คำคลุมเคลืออย่างมาก เป็นการพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม
ที่เปิดช่องให้ “ประชาชนต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพของตนเอง
ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเหลื่อมล้ำ” เช่นเดียวกับนโยบายฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม
“เหมือนเป็นการอุปมาได้ว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการต่าง
ๆ เป็นการรวมศูนย์อำนาจ” โดยเฉพาะแหล่งแร่และแหล่งน้ำ นอกจากชุมชนมิได้มีส่วนร่วมแล้ว
ยังไม่มีมาตรการสำหรับจัดแก้ในเรื่องผลกระทบอันจะเกิดกับประชาชน
ที่น่าขันเป็นนโยบาย ‘ปฏิรูป’ การบริหารจัดการในภาครัฐ
ที่บอกว่าเน้นการกระจายอำนาจในเรื่องบริการสาธารณะ แต่ในความเป็นจริง “เป็นการดึงอำนาจการบริหารประเทศมารวมศูนย์ในรัฐส่วนกลางแบบคอขวด
ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที”
มาถึง การป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ดดยแท้จริง “มีเพียงการระบุว่าจะเปิดเผยสถานการณ์ของข้อมูล
ไม่ได้ระบุว่าจะเปิดเผยรายละเอียดของข้อมูล”
ประการสำคัญยิ่งในเรื่องกระบวนการยุติธรรม ‘สมัชชาคนจน’ แจงถึงเรื่องการ “ลดค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของคนจน
เพราะในความเป็นจริงกระบวนการยุติธรรมนั้นมีค่าใช้จ่ายในการสู้คดีสูง จนคนจนไม่สามารถแบกภาระได้”
สรุปแล้วนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล คสช.๒
ไม่ได้ให้เบาะแสเลยว่าจะมีการลงมือทำจริงอะไรบ้างที่เป็นรูปธรรม
เท่ากับไม่ไม่ได้เร่งด่วนแต่อย่างใด