วันจันทร์, กรกฎาคม 22, 2562

เข้ายุค คสช.๒ เต็มตัว ชาวบ้านเจอภัยแล้งหน้าฝน กระทั่งพวก 'นั่งร้าน' ยังร้องยี้

เมืองไทยเกิด ภัยแล้ง ตอนหน้าฝนนี่ต้องเรียกว่าปาฏิหาริย์ คสช. เพราะไม่มีครั้งไหนขนาดนี้ น้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เหลือแค่ ๕% เทวดาไม่ได้ล้อเล่นแล้วละ

เมื่อ ๑๖ ก.ค. ปริมาณน้ำอยู่ที่ ๕๐.๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร จากเกณฑ์สูงสุดที่ ๙๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ไม่สามารถส่งน้ำเลี้ยง ๓ อำเภอ คือโคกสำโรง โคกเจริญ และสระโบสถ์ เป้นเวลากว่า ๔ อาทิตย์แล้ว อันเนื่องมาแต่

“ฝนทิ้งช่วงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ท้ายน้ำไม่กล้าทำการเกษตร ส่วนคนที่ลงมือปลูกพืชผลก็ได้รับความเสียหายไปเป็นจำนวนมาก”

เห็นทั่นผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ทำพิธีบวงสรวง บนบานศาลกล่าวด้วยหัวหมูจำนวนหลายสิบ “ขอให้น้ำเพิ่มในอ่างที่ผลิตประปา” นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาภัยแล้งแบบ คสช.ยุคโกงเลือกตั้งมาหรือ

ไหนจะ “ชาวนานครปฐมปลูกข้าว ๒๕ ไร่ได้แค่ ๙ เกวียน ได้เกวียนละแค่ ๖ พัน ราคาข้าวตกต่ำขีดสุด เป็นหนี้ ธกส. เป็นหนี้ร้านปุ๋ยร้านยาและหนี้นอกระบบที่กู้มาทำนา เมื่อหาทางออกไม่ได้สุดท้ายผูกคอตายเสียชีวิต”

เอน็จอนาจอนิจจัง แม้แต่น้ำลำโขงแห้งผากจนสัตว์น้ำตายคาหาด เพราะการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำไปใช้ผลิตไฟฟ้า นั่นอาจจะคนละเรื่องเดียวกัน แต่ก็เป็นคำถามที่รัฐบาลต้องตอบให้ได้ ในเมื่อทางวิชาการ ดร.ไชยณรงต์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์มหาวิทยาลัยสารคามระบุว่า

ผลจากการสร้างเขื่อนไซยะบุรีกระทบต่อระบบนิเวศปลายน้ำหลังเขื่อนอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะที่บ้านม่วง หนองคาย “น้ำโขงเริ่มลดลง หลายที่แห้งผาก และร้อนระอุราวกับทะเลทราย สัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น กุ้ง และลูกปลาไม่มีโอกาสที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์

ตามซอกหินที่เคยมีน้ำและหลบซ่อนตัว กลายเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น...ทั้งที่ในเมื่อปกติแล้วช่วงนี้ “ลำน้ำโขงจะมีน้ำเต็ม กกไคร่จะเขียวขจีและค่อย ๆ จมอยู่ใต้น้ำให้เป็นที่วางไข่ของปลา และมีผลและใบให้ปลากินเป็นอาหาร”
 
เช่นเดียวกับภัยแล้งในประเทศ คสช.ไม่เคยรับว่าทำอะไรผิดบ้าง ตั้งแต่รัฐบาลขี้ตู่ ๑ ถึงขี้ตู่ ๒ ที่เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หนึ่งใน ๗ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอ้างไว้ไม่ผิด “ครั้งแรกก็ปล้นเขามา เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สองก็โกงเขามา”

กระทั่ง กษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศที่ไปร่วมเป่านกหวีดปิดสนามบิน “อาหารดี ดนตรีเพราะ” ครั้งโน้น ตะโกนเรียกคณะผู้นำ ผู้บงการสั่งการ ชุด ๓ เกลอหัวแข็งให้เข้ามายึดอำนาจเองยังบอกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ยี้ทั้งนั้น

ไม่เพียงรัฐมนตรีจำนวนมากไม่ผ่านการเลือกตั้ง บ้างสอบตก บ้างขาดคุณสมบัติ ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายบังคับก็นับเป็นเรื่องมารยาททางประชาธิปไตย ที่ควรมีที่มาที่ไปเชื่อมโยงกับประชาชน แล้วยังหลายคนมีข้อหากบฏปักหลัง รมว.ศึกษาฯ คนหนึ่งละ

ไหนจะ ส.ส.พรรคฐานหลักของรัฐบาลตู่ ๒ อีกหลายคนพัวพันคดีฉ้อราษฎร์การก่อสร้างสนามฟุตซอล ในโครงการของสำนักงานการศึกษา ที่ ปปช.เพิ่งชี้มูลความผิด รออัยการสูงสุดแถลงดำเนินคดี เห็นแล้วอย่างนี้จะไม่ให้ยี้อย่างไรไหว

ดูจากแถลงนโยบายใหม่ สองโหล(๒๔ ข้อ) มีโหลเร่งกับโหลหลักอย่างละครึ่ง เริ่มจากปกป้องสถาบันกษัตริย์ไปปิดท้ายที่ว่าจะแก้ปัญหาภัยแล้ง ล้วนแต่ถ้อยคำแบบเรียงความชั้นประถม เนื้อถ้อยลอยๆ หาแก่นไม่ได้

เฟชบุ๊ค ไทยคู่ฟ้ารัฐบาลตู่ยังมีหน้ามาสอนประชาชนเรื่อง ทางออกแก้ปัญหาเงินเดือนไม่พอใช้ ให้ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น รู้จักเก็บออม หยุดกู้หนี้นอกระบบ หาอาชีพเสริม และคิดถึงอนาคต เป็นต้น ล้วนแต่โดนชาวบ้านหัวเราะเยาะ

หนี้นอกระบบนี่คือปัญหาแก้ไม่ตกของเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดย่อม ก็ถ้าเศรษฐกิจมันตกต่ำมากชนิดที่รัฐบาลเอาแต่ถลุงเงิน แล้วยังจะต้องเตรียมจ่ายค่าปรับเหมืองทอง ละก็ถ้าไม่กู้มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง หรือกรณีให้คิดถึงอนาคต พวกเขามี อนาคตใหม่ ไหงคสช.กับลิ่วล้อคอยแต่ไล่ล่าล่ะ
 
ว่าไปทำไรมี แม้แต่ ซูเปอร์โพลของนพดล กรรณิกา ขาหนุน คสช.ตัวยง ยังต้องปรับกระบวน ล่าสุด (๒๑ ก.ค.) แจงผลสำรวจฝีมือตู่ “ช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยสุขหรือทุกข์แค่ไหน เมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋าของตัวเอง พบว่า”

ส่วนใหญ่ ๔๐.๗% บอกทุกข์มาก รองลงมา ๑๙.๑% ทุกข์ธรรมดา อีก ๓๒.๑% ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่แค่ ๖.๑% เท่านั้นที่มีสุข อีก ๒% สุขมาก เท่ากับยอมรับแล้วว่าเกือบร้อยละ ๖๐ มีทุกข์ แต่มีสุขเพียง ๘ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้น ไทยเฉย


อย่างนี้ชี้ชัดเลยว่า เพราะความกระสันต้องการสืบทอดอำนาจเป็นหลักใหญ่ ทำให้ คสช.ที่ไม่อาจปล้นอำนาจตัวเองเพื่ออยู่ต่อได้ จึงใช้กลวิธีโกงให้กลับเข้ามาใหม่ได้ โดยกวาดเอาพวกวายร้ายและมิจฉาชีพทางการเมือง เข้าไปเป็นกำลัง

มีทั้งร้อยพ่อพันแม่และเสือสิงห์กระทิงแรด จะไม่ให้พวกที่เคยคุกเข่าให้เหยียบไหล่ขึ้นไปครองอำนาจ ต้องหันมาร้องยี้กันเป็นแถว