เมืองไทยเกิด ‘ภัยแล้ง’ ตอนหน้าฝนนี่ต้องเรียกว่าปาฏิหาริย์ คสช. เพราะไม่มีครั้งไหนขนาดนี้
น้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เหลือแค่ ๕% เทวดาไม่ได้ล้อเล่นแล้วละ
เมื่อ ๑๖ ก.ค. ปริมาณน้ำอยู่ที่ ๕๐.๕๒
ล้านลูกบาศก์เมตร จากเกณฑ์สูงสุดที่ ๙๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร
ทำให้ไม่สามารถส่งน้ำเลี้ยง ๓ อำเภอ คือโคกสำโรง โคกเจริญ และสระโบสถ์
เป้นเวลากว่า ๔ อาทิตย์แล้ว อันเนื่องมาแต่
“ฝนทิ้งช่วงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ท้ายน้ำไม่กล้าทำการเกษตร
ส่วนคนที่ลงมือปลูกพืชผลก็ได้รับความเสียหายไปเป็นจำนวนมาก”
เห็นทั่นผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ทำพิธีบวงสรวง
บนบานศาลกล่าวด้วยหัวหมูจำนวนหลายสิบ “ขอให้น้ำเพิ่มในอ่างที่ผลิตประปา” นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาภัยแล้งแบบ
คสช.ยุคโกงเลือกตั้งมาหรือ
ไหนจะ “ชาวนานครปฐมปลูกข้าว ๒๕ ไร่ได้แค่ ๙
เกวียน ได้เกวียนละแค่ ๖ พัน ราคาข้าวตกต่ำขีดสุด เป็นหนี้ ธกส.
เป็นหนี้ร้านปุ๋ยร้านยาและหนี้นอกระบบที่กู้มาทำนา เมื่อหาทางออกไม่ได้สุดท้ายผูกคอตายเสียชีวิต”
เอน็จอนาจอนิจจัง แม้แต่น้ำลำโขงแห้งผากจนสัตว์น้ำตายคาหาด
เพราะการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำไปใช้ผลิตไฟฟ้า นั่นอาจจะคนละเรื่องเดียวกัน แต่ก็เป็นคำถามที่รัฐบาลต้องตอบให้ได้
ในเมื่อทางวิชาการ ดร.ไชยณรงต์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์มหาวิทยาลัยสารคามระบุว่า
ผลจากการสร้างเขื่อนไซยะบุรีกระทบต่อระบบนิเวศปลายน้ำหลังเขื่อนอย่างร้ายแรง
โดยเฉพาะที่บ้านม่วง หนองคาย “น้ำโขงเริ่มลดลง หลายที่แห้งผาก
และร้อนระอุราวกับทะเลทราย สัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น กุ้ง
และลูกปลาไม่มีโอกาสที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์
ตามซอกหินที่เคยมีน้ำและหลบซ่อนตัว
กลายเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น...ทั้งที่ในเมื่อปกติแล้วช่วงนี้ “ลำน้ำโขงจะมีน้ำเต็ม
กกไคร่จะเขียวขจีและค่อย ๆ จมอยู่ใต้น้ำให้เป็นที่วางไข่ของปลา และมีผลและใบให้ปลากินเป็นอาหาร”
เช่นเดียวกับภัยแล้งในประเทศ คสช.ไม่เคยรับว่าทำอะไรผิดบ้าง
ตั้งแต่รัฐบาลขี้ตู่ ๑ ถึงขี้ตู่ ๒ ที่เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หนึ่งใน ๗ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอ้างไว้ไม่ผิด
“ครั้งแรกก็ปล้นเขามา เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สองก็โกงเขามา”
กระทั่ง กษิต ภิรมย์ อดีต
รมว.ต่างประเทศที่ไปร่วมเป่านกหวีดปิดสนามบิน “อาหารดี ดนตรีเพราะ” ครั้งโน้น
ตะโกนเรียกคณะผู้นำ ผู้บงการสั่งการ ‘ชุด ๓
เกลอหัวแข็ง’ ให้เข้ามายึดอำนาจเองยังบอกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ยี้ทั้งนั้น
ไม่เพียงรัฐมนตรีจำนวนมากไม่ผ่านการเลือกตั้ง
บ้างสอบตก บ้างขาดคุณสมบัติ
ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายบังคับก็นับเป็นเรื่องมารยาททางประชาธิปไตย
ที่ควรมีที่มาที่ไปเชื่อมโยงกับประชาชน แล้วยังหลายคนมีข้อหากบฏปักหลัง รมว.ศึกษาฯ
คนหนึ่งละ
ไหนจะ ส.ส.พรรคฐานหลักของรัฐบาลตู่ ๒
อีกหลายคนพัวพันคดีฉ้อราษฎร์การก่อสร้างสนามฟุตซอล ในโครงการของสำนักงานการศึกษา
ที่ ปปช.เพิ่งชี้มูลความผิด รออัยการสูงสุดแถลงดำเนินคดี
เห็นแล้วอย่างนี้จะไม่ให้ยี้อย่างไรไหว
ดูจากแถลงนโยบายใหม่ ‘สองโหล’ (๒๔ ข้อ) มีโหลเร่งกับโหลหลักอย่างละครึ่ง
เริ่มจากปกป้องสถาบันกษัตริย์ไปปิดท้ายที่ว่าจะแก้ปัญหาภัยแล้ง
ล้วนแต่ถ้อยคำแบบเรียงความชั้นประถม เนื้อถ้อยลอยๆ หาแก่นไม่ได้
เฟชบุ๊ค ‘ไทยคู่ฟ้า’
รัฐบาลตู่ยังมีหน้ามาสอนประชาชนเรื่อง ทางออกแก้ปัญหาเงินเดือนไม่พอใช้
ให้ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น รู้จักเก็บออม หยุดกู้หนี้นอกระบบ หาอาชีพเสริม
และคิดถึงอนาคต เป็นต้น ล้วนแต่โดนชาวบ้านหัวเราะเยาะ
หนี้นอกระบบนี่คือปัญหาแก้ไม่ตกของเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดย่อม
ก็ถ้าเศรษฐกิจมันตกต่ำมากชนิดที่รัฐบาลเอาแต่ถลุงเงิน
แล้วยังจะต้องเตรียมจ่ายค่าปรับเหมืองทอง ละก็ถ้าไม่กู้มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง หรือกรณีให้คิดถึงอนาคต
พวกเขามี ‘อนาคตใหม่’
ไหงคสช.กับลิ่วล้อคอยแต่ไล่ล่าล่ะ
ว่าไปทำไรมี แม้แต่ ‘ซูเปอร์โพล’ ของนพดล กรรณิกา ขาหนุน คสช.ตัวยง
ยังต้องปรับกระบวน ล่าสุด (๒๑ ก.ค.) แจงผลสำรวจฝีมือตู่ “ช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา
ทำให้คนไทยสุขหรือทุกข์แค่ไหน เมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋าของตัวเอง พบว่า”
ส่วนใหญ่ ๔๐.๗%
บอกทุกข์มาก รองลงมา ๑๙.๑% ทุกข์ธรรมดา อีก
๓๒.๑% ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่แค่ ๖.๑%
เท่านั้นที่มีสุข อีก ๒% สุขมาก
เท่ากับยอมรับแล้วว่าเกือบร้อยละ ๖๐ มีทุกข์ แต่มีสุขเพียง ๘ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้น ‘ไทยเฉย’
(https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2366135710167583&set=a.147595018688341&type=3&permPage=1,
https://twitter.com/aorwiki/status/1152626560622444544/photo/1,
https://www.prachachat.net/politics/news-351895
และ https://www.tnnthailand.com/content/12461)
อย่างนี้ชี้ชัดเลยว่า
เพราะความกระสันต้องการสืบทอดอำนาจเป็นหลักใหญ่ ทำให้ คสช.ที่ไม่อาจปล้นอำนาจตัวเองเพื่ออยู่ต่อได้
จึงใช้กลวิธีโกงให้กลับเข้ามาใหม่ได้ โดยกวาดเอาพวกวายร้ายและมิจฉาชีพทางการเมือง
เข้าไปเป็นกำลัง