วันจันทร์, กรกฎาคม 29, 2562

‘เสี้ยม’ แน่ๆ กระแสสลิ่มชื่นชม พิธา-อนุพงษ์


ประเด็น ทิม อนาคตใหม่ จะเป็นกลยุทธ์อะแซหวุ่นกี้ ตีท้ายครัว หรือ ม้าเมืองทรอยให้ฝ่ายประชาธิปไตย ตบ กันเองภายในแล้วขยายออกไปบนถนน จนพวกนิยมเผด็จการนั่งหัวร่อกันท้องแข็งไหม

จะว่าเป็นไปไม่ได้ก็ไม่ชัวร์ เรื่องอย่างนี้ที่เป็นกระแสขึ้นมาต้องเชื่อว่าเพราะ สลิ่ม มีจริง ประหนึ่งสายพันธุ์ที่สืบทอดกันไม่ใช่ด้วยจีนส์ (ภาษาไทยเรียกยีนส์) แต่ด้วยภูมิปัญญาแห่งสัญชาติ ซึมซับโดยวัฒนธรรมและประเพณีของการเอาตัวรอด

เมื่อเกิดอะไรที่ มิดี แก่ตัว ต่อมสันดานจะขับสาร มิร้าย ออกมาปกคลุมตน ผลักสิ่งมิดีใส่ เหยื่อ และเป้าหมาย นี่คือสาเหตุที่อุดมการณ์ประชาธิปไตย และการเคารพในสิทธิเสรีภาพของเพื่อนร่วมชาติ ไม่เคยฝังรากได้สำเร็จในสังคมไทย นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ

เพราะไม่สามารถกลบเกลื่อนความเชื่อเรื่องคนเราไม่เหมือนกันได้ อันนำไปสู่ความลุ่มหลงเรื่องเกิดมาไม่เท่าเทียม อ้างมีสูงต่ำคล้ำเผือก ชาติตระกูลบุญญาธิการ ไปถึงทรัพย์ศฤงคารและการศึกษา ถึงขั้นที่มี ส.ส.ปัดเศษคนหนึ่งเคยหมิ่นว่าบ้านนอกไม่ควรมีสิทธิเสียงเท่าคนกรุง

อธิบายด้วยปรัชญาสลิ่มชั้นสูงต่อการที่ คสช. อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ สว.ตู่ตั้ง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ตามกันออกมาแสดงความชื่นชมต่อการอภิปรายของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อาจไม่ได้เป็นการทะลวงไส้ มุ่งกระแทกกลางโดยตั้งใจ หากแต่มีเจตนา เสี้ยม แน่ๆ
 
แน่นอนว่าสิ่งที่พิธาอภิปรายไม่ว่าจะเป็นกระดุม ๕ เม็ดทางการเกษตร ที่ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ ทึ่งว่าทำการบ้านมาเยอะ “บางอันผมยังตอบไม่ได้...เรื่องที่ดินเนี่ย...มันเป็นกระดุมเม็ดแรกจริง” คือ “เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่มีที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นผลจากการปล่อยให้นายทุนได้รับสิทธิพิเศษ”

เลยเป็นกระแสจากการปั่นแบบสลิ่มขึ้นมาว่า การอภิปรายของอนุพงษ์ “เป็นเหตุเป็นผล และควบคุมอารณ์ได้ดี” จนเกิดเสียงค้านระงมว่า “อนุพงษ์มีวันนี้ได้เพราะรัฐประหารเข้ามา เป็นคนร้ายลึก” (นี่คงต้องรอถาม สนธิ ลิ้มทองกุล เขาน่าจะรู้ดี)

บ้างเอาไปเปรียบกับ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ว่า “ภาพพจน์ดีมากและดูหน้าบางกว่าพวก คสช. เยอะเลยแหละ พวกชังหัวหน้า คสช. แต่ดันปลื้มอนุพงษ์นี่เจอสุรยุทธ์อาจจะปีติจนสิ้นสติสมประดี” ทั้งๆ ที่ “ดูไม่มีพิษภัย แต่ที่ไหนได้กินภูเขาเกือบทั้งลูก”

ด้านแพทย์หญิงพรทิพย์นั้นอ้างจากการได้คุยกันแล้วพบว่า “เขาแสดงความนอบน้อม...หนุ่มน้อยแสดงวิถีที่ไม่คาดฝัน...แทบไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นอัธยาศัยเช่นนี้ในคนรุ่นใหม่” เป็นการ ไม่น่าเชื่อที่ตีความไม่ออกว่าชมหรือด่า หรือผสมผเสสองอย่างไปพร้อมกัน

หมอคุณหญิงผู้เชี่ยวชาญเรื่องแท่งจีที ๒๐๐ และแก๊สน้ำตา แสดงความชื่นชมคุณสมบัติ นักการเมืองคุณภาพรุ่นใหม่...ที่เก่งเช่นนี้ว่า “มีความนอบน้อม ลงเวทีการเมืองแสดงความสามารถ หมดสมัยใช้วิธีดึงอดีตเสียดสีใส่ร้ายโป้ปดมดเท็จ”

พิจารณาเปรียบเทียบจากสิ่งที่หมอคุณหญิงแสดงบทบาท สว.ตู่ตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ จี้ปมเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมของ ส.ส.หญิงคนหนึ่งของพรรคอนาคตใหม่ กับการไว้อาลัยประธานองคมนตรีผู้วายชนม์แล้ว การชื่นชมพิธาของเธอไม่ได้ก่อประโยชน์อย่างใดนักกับประชาชนหมู่มาก

ขนาด ซูเปอร์โพลของนพดล กรรณิกา ยังจัดอันดับ ดาวสภาฯ คนรุ่นใหม่ ขวัญใจประชาชนในการอภิปราย ไว้ว่านอกจากพิธาอันดับหนึ่ง แล้วยังมี ปิยบุตร แสงกนกกุล อันดับสอง และ พรรณิการ์ วานิช อันดับสาม ล้วนสังกัดพรรคอนาคตใหม่

ขณะที่ผู้ติดอันดับ ๕ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ซึ่งโด่งดังในทางส่อเสียดเรื่องส่วนตัวฝ่ายตรงข้าม นอกจากเรียกพรรณิการ์ว่า อีช่อ แล้วยังเอ่ยถึงเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ว่า เสนอหน้าพอมาถึงทิมก็พยายามขุดคุ้ยประเด็นอดีตภรรยาของเขา นักแสดงสาว ต่ายชุติมา ทีปะนาถ
 
จนกระทั่งภูวนาท คุนผลิน นักร้องและนักแสดงต้องออกตัวตำหนิ “วิจารณญาณกับกาละเทศะนั้นสำคัญเหลือเกิน ผู้ปกครองควรชี้แนะว่าอะไรเป็นตัวอย่างที่ดีและไม่ดี พอดีช่วงนี้มีตัวอย่างไม่ดีเยอะนิดนึงนะลูกนะ”


น่าเห็นใจพรรคอนาคตใหม่ที่จะต้องเสียเวลากับการแก้เงื่อนปมไร้สาระ ที่เกิดจากกระแสปั่นของสลิ่มบ่อยๆ ซึ่งจะเมินเฉยเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะสังคมไทยยุคที่พยายามย้อนเวลากลับไปยังสมัย เจ้าคุณพระขณะนี้ การโกหกซ้ำซากด้วยเสียงดัง มักจะถูกเหมาเอาว่าเป็นความจริง