วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 18, 2562

หาเสียงไว้ทำไม่ได้อีกอย่าง ลดภาษีเงินได้ ๑๐% ยังต้องรอก่อน

นโยบายที่ใช้หาเสียงเกิดจะยังทำไม่ได้อีกอย่างแระ รัฐบาลประชารัฐ ณ คสช. ที่ว่าจะลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๑๐ เปอร์เซ็นต์รวด ต้องรอหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสียก่อนว่าจะทำได้ไหม

รมว.คลังใหม่หน้าเก่าเผยอแย้มกลีบลำดวน นายอุตตม สาวนายน เปิดเผยหลังจากเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบิกฤกษ์ก่อนเข้ากระทรวง อ้าง “ตอนหาเสียงพูดแต่ภาพใหญ่ ถึงเวลาทำงานจริงต้องมาดูรายละเอียดกันว่าทำได้หรือไม่อย่างไร”

แหม รอบคอบดีจัง รีบบอกก่อนกลัวพังทีหลัง ถึงอย่างนั้นก็บ้อท่าไปแล้วละ มีอย่างที่ไหนวางนโยบายโดยไม่คิดทางได้ทางเสียไว้เสียก่อน ขนาดแม่ค้าขายผักก่อนจะทำ โปร (โมชั่น) เขายังคิดแล้วจะเอาแบบซื้อกำแถมกำ หรือลดราคาต่อกำ หรือขายราคาเดิมแต่ลดปริมาณ

นี่ถือเป็นพรรคของ คสช. พูดอะไรก็ได้ไม่แคร์จะถูกผิด สมเหตุสมผล หรือว่าต้องตรงกับความเป็นจริงไหม ทำเป็นเฮียฉุนนึกจะพูดอะไรก็พูดไปก่อน พูดแล้วไม่ค่อยยอมแก้แม้ผิด ใช้วิธีแถสไตล์นักลอกการบ้าน แถมยังคายขี้เลื่อยในสมองอีกว่า

“ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๑๐% ตามที่หาเสียงไว้ก็เป็นเรื่องของการคาดหวัง รัฐบาลเข้าใจแต่รัฐบาลต้องหารือวิธีปฏิบัติว่าจะทำได้หรือไม่” ใช่สิ แต่ทางที่ควรคือต้องหารือก่อนประกาศออกไป คนธรรมดาที่ไหนก็รู้ ไม่ต้องเป็นถึงผู้วิเศษอย่าง คสช. หรือ พปชร.

ขนาดลูกน้องเคยบอกไว้แล้ว นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร แจ้งก่อนหน้านี้ว่าการลดภาษีอย่างนั้น “จะกระทบทำให้การเก็บภาษีหายไปจำนวนมาก ซึ่งกรมสรรพากรต้องเสนอแนวทางการเก็บภาษีอื่นเพิ่ม”

กระทั่งลูกไล่อย่างพรรค ปชป. ก็ยังติง อดีต รมว.คลัง อย่างกรณ์ จาติกวนิช แจงว่าพรรคตนก็มีนโยบายลดภาษีเงินได้เหมือนกัน แต่ลด ๒๐% จากอัตราที่เคยเสีย เช่นเคยจ่าย ๒๐ ก็ลด ๒๐% จากจำนวนนั้นเป็นจ่ายแค่ ๑๖ บาท

ส่วนของพลังประชารัฐเหมือนจะพูดพล่อยว่าลดรวด ๑๐% ดังเช่นที่เคยจ่ายในอัตรา ๒๕% ก็ให้เหลือแค่ ๑๕% มันต่างกันเยอะ คิดสาระตะแล้วของ ปชป. ลงเอยอยู่ที่อัตราสุดท้าย ๒๕- = ๒๑% พอสมน้ำสมเนื้อ ในเมื่อภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันเก็บได้ที่ ๔.๙ แสนล้านบาทเท่านั้น


ถ้าลดอัตราเหลือ ๑๕% รายได้ภาษีส่วนนี้จะเหลือเพียงไม่ถึง ๓ แสนล้านบาท ดูจากประกาศกระทรวงการคลังเมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่กว่า ๖.๙ ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ ๔๑.๗๘ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี

แสดงว่าฐานะการคลังในวันที่ รมว.คนใหม่หน้าเก่าเข้าไปบริหารจัดการ ยังคงบักโกรกบักอานพอดู ไหนจะปัญหาค่าเงินบาทแข็งเอาแข็งเอาเหมือนกินไวอะกร้า ถึงอ้างว่าเป็นเพราะสถานการณ์โลก เงินดอลลาร์อ่อนปวกเปียกเนื่องจากการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคู่ตุนาหงันการค้าสหรัฐ-จีน

แต่ภาวะการณ์ภายในประเทศธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ “เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้ มีการการขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือ ๓.%” จากที่คุยไว้ ๓.๕ และที่โวก่อนหน้านั้นอีกว่าจะถึง ๔  
 
แบ๊งค์ชาติกำลังเป็นห่วงว่าจะเจอวิกฤติ “ถูกแทรกแซงค่าเงิน” อีกเหมือนเมื่อครั้ง ต้มยำกุ้งซึ่งนายวีรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แจงว่าการแก้ไขตามทฤษฎีปกติที่เคยใช้ได้ผล เหมือนกินพาราเซ้ทตาม่อน ตอนนี้ไม่ได้แล้ว

เพราะ “อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงอาจไม่ส่งผลมากนักกับการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง” อันเนื่องมาแต่ “ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยโดยรวมไม่ได้ลดลง”


ความเสี่ยงที่เพิ่มมานี้มีทั้ง “หนี้ครัวเรือนสูง การเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนมีพฤติกรรมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และการออกกฎหมายความคุมสหกรณ์ออมทรัพย์ล่าช้า” ปัญหาปกติในการบริหารจัดการเศรษฐกิจการเงินประเทศ

เมื่อก่อนตอน ๕ ปีที่แล้ว แก้ตัวน้ำขุ่นๆ กันด้วยการโทษรัฐบาลชุดก่อน ตอนนี้ร่ำๆ จะโทษใครก็ไม่ได้โทษเศรษฐกิจโลกละวะ แต่ว่าเรื่อง รูทีนงานประจำที่ต้องทำในการรักษาสุขภาพทางเศรษฐกิจของประชากรยังกระท่อนกระแท่น

ดั๊นไปพล่ามงานใหญ่ลดอัตราภาษีทีเดียว ๑๐% โดยมิพักจะคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ขณะที่การส่งออกอย่างดีอยู่ที่ ๐เสร็จแล้วต้องกล้อมแกล้มกลืนเสลดกลับลงคอ เหมือนกับตบหน้าตัวเอง ระวังนะ ไม่ช้าประชาชนจะมาช่วยตบให้บ้าง