วันอังคาร, กรกฎาคม 09, 2562

บิ๊กป้อมเรียกว่าคุ้มครองจ่านิว จ่านิว (หรือนักแอคติวิสต์) ต้องยอมเสียเสรีภาพในการแสดงออก ฮ่วย...






การมีส่วนร่วมทางประการเมืองนอกจากจะเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นผลดีต่อพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ ไม่มีประเทศประชาธิปไตยใดในโลกที่ผู้มีอำนาจจะกล้าพูดจาห้ามปรามประชาชนไม่ให้ “ยุ่งการเมือง”

การให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประวิตรที่สนับสนุนแนวทางของตำรวจในการตั้งเงื่อนไขห้ามจ่านิวเคลื่อนไหวทางการเมืองแลกกับการคุ้มครองความปลอดภัย จึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ

บุคคลที่มีทัศนคติเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยเช่นนี้ขาดคุณสมบัติ และไม่อาจยอมให้ดำรงตำแหน่งใดๆในรัฐบาลได้

Bow Nuttaa Mahattana
8.07.19
#ActiveCitizen

https://www.matichonnews.com/politics/news_1572279
...


Sirawith Seritiwat
9 hrs

ขออธิบายให้ชัด

สืบเนื่องจากกรณีที่ ประวิตร วงษ์สุวรรณ (หรือป้อม) รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้พูดถึงกรณีของผม ในเรื่องการคุ้มครองพยาน โดยให้ข่าวตรงกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เงื่อนไขการคุ้มครองพยานของผมนั้น คือการต้องห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก

ทีแรก ผมชักไม่แน่ใจเงื่อนไขนี้สักเท่าไหร่นัก ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาบอก เพราะคิดว่าตัวเองเนี่ยหูแว่วไปเอง เลยคิดในแง่ดีก่อนว่าอาจจะฟังแล้วไม่ได้ศัพท์ แต่พอป้อม “ยืนยัน” ออกมาแบบนั้น ผมก็คงจะต้องสื่อสารอะไรสักหน่อยบ้าง

มันแน่นอนอยู่แล้วครับ ที่ช่วงนี้ ผมคงต้องพักการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปสักพักเป็นปริยายอยู่แล้ว เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ที่โดนพวกร่างมนุษย์ แต่จิตใจอำมหิตที่ไหนก็ไม่รู้ มาดักรุมทำร้ายร่างกายถึงสองครั้งสองครา ซึ่งตอนนี้ก็ยังจับตัวมาดำเนินคดีไม่ได้เสียที และเดิมทีที่ตั้งใจ คือการเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศของผมนั่นเอง จึงทำให้ผมต้อง “เว้นวรรค” สักพักใหญ่

แต่หากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของผมนั้น มันคือสิทธิเสรีภาพพื้นฐาน ที่มีอยู่ในตัวของทุกๆคนในประเทศนี้ ที่ไม่ว่าใคร จะมาพรากจากไปไม่ได้ มันเป็นสิทธิ์ ที่ไม่ควรให้ใครมาหยิบไปเป็นเงื่อนไขที่เอามาเที่ยวใช้ “แลก” เพื่อเป็น “ค่าคุ้มครอง” ในการรักษาความปลอดภัยใดๆ

ลำพังแค่ผมบาดเจ็บทางร่างกายอย่างหนัก จากการถูกทำร้ายร่างกาย เพียงเพราะเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสันติมาโดยตลอดหลายปี นอนโรงพยาบเป็นสิบวัน เสียการดำเนินชีวิตปกติ ที่จะไปไหนแบบอิสระ ไร้ความระแวง มันก็มากเกินพอที่ผมจะต้องจำใจเสียแล้ว

และทำไมผมต้องยอม “เสียจิตวิญญาณเสรี” และค่าไถ่เพื่อให้ตัวเองอยู่อย่างปลอดภัย ด้วยการ “เลิกเห็นต่าง” จากผู้มีอำนาจอีกเหรอ?

สืบเนื่องจากกรณีเช่นเดียวกัน ที่วันนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งใน-นอกเครื่องแบบ ทั้งทหารและตำรวจ ไปหานักกิจกรรม อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษา และอดีตนักกิจกรรมที่เลิกเคลื่อนไหว หลายสิบคน ถึงประตูบ้าน โดยอ้างว่าจะไปเพื่อดูแลความปลอดภัย แต่จริงๆคือไปถามเขาว่าจะทำกิจกรรมเกี่ยวกับผม หรือการเมือง หรือเปล่า? บางคนถึงขนาดถูกขอให้หยุด ซึ่งมันเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุที่กระทำต่อประชาชน ขอส่งกำลังใจทุกท่านและยืนหยัดอย่างหนักแน่นไปด้วยกันครับ

ผมอยากสื่อสารว่า นี่ไม่ใช่การดูแลรักษาความปลอดภัย อย่าเอามาอ้าง นี่มันคือการ “คุกคามสิทธิเสรีภาพ” ของประชาชน ที่ผ่านมา 5 ปี ของ คสช.ยังไม่พออีกหรือ นี่จะตั้งรัฐบาลใหม่ พยายามจะฟอกขาวว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้ง ใสสะอาด แต่พฤติกรรมก็ยังละทิ้ง “นิสัยเผด็จการ” กันยังไม่ได้ นี่เหรอ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ทำไมบรรยากาศมันช่างไม่มีความแตกต่างจากรัฐบาลที่แล้ว ที่ยึดอำนาจ ด้วยการทำรัฐประหาร และปกครองกันด้วยระบอบเผด็จการ ซะเหลือเกิน?

**เช่นเคย ผมพูดให้คนอื่นพิมพ์ให้ จะได้เลิกถาม ว่าทำไมตาไม่ดี แล้วไอ้จ่านิว ยังพิมพ์ยาวๆได้ถึงขนาดนี้**
...